ผลการเลือกตั้งที่ออกมา ทำให้ถูกคาดหมายว่าเราน่าจะได้รัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพ กล่าวคือ เป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในสภาฯอย่างมีนัยสำคัญ มีพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มากทำให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้หาเสียงมาอยางเต็มที่ ภาวะ ดังกล่าวทำให้ถูกคาดหมายว่า SET Index น่าจะปรับตัวสูงขึ้น โดยหากอ้างอิง ข้อมูลตามสถิติที่เราได้ศึกษามาพบว่า สัปดาห์แรกหลังการเลือกตั้ง SET Index น่าจะปรับตัวขึ้น 3.8% ด้วยความน่าจะเป็น 80% และหากอิงข้อมูลในเชิง บรรยากาศการเมื่องเทียบเคียงกับช่วงที่ พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งครั้งแรก แบบ Landslide ในปี 2544 พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว SET Index ปรับขึ้นอย่าง มีนัยสำคัญ สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในวันนี้เป็นการประกาศตัวเลข GDP 1Q66 ของบ้านเรา ที่ Consensus คาดโต 2.3% YoY และ 1.8% QoQ คาดว่า SET Index น่าจะปรับตัวสูงขึ้น ด้วยแรงขับเคลี่อนของปัจจัยการเมืองใน ประเทศหลังผ่านการเลือกตั้ง วันนี้คาดว่า SET Indexอยู่ในกรอบ 1558-1585 จุด หุ้น Top Pick วันนี้เลือก CPALL (BK:CPALL), CPN และ KTB
คาด GDP GROWTH 1Q66 บ้านเราโต 1.8% QOQ และ2.3%YOY
ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปปรับตัวในกรอบแคบเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา -0.4% ถึง +0.5% หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ ยังเป็นปะเด็นที่ต้องติดตาม โดยรัฐบาลจะมีการนัดหมายหารือกันอีกครั้งในวันที่ 18 พ.ค. นี้
ขณะที่บ้านเราในวันนี้ (เวลา 9.30 น.) ทางสภาพัฒน์จะมีการรายงานตัวเลข GDP ไทยใน 1Q66 โดย Consensus คาดว่าจะขยายตัว 1.8%QoQ และ 2.3%YoY ซึ่งจะส่งผลให้ ประเทศไทยรอดพ้นจากภาวะ Technical Recession (GDP ติดตลบติดต่อกัน 2Q)
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต จะเห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วง 1Q66 ดูดีขึ้น หลายองค์ประกอบ เฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคภายในประเทศ จึงเชื่อว่าจะส่งผลต่อ เศรษฐกิจในบ้านเราพลิกกลับมาขยายตัวต่อได้ ทั้งนี้หาก GDP ไทยใน 1Q66 +1.8%QoQ ตามที่ Consensus ได้คาดการณ์ จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นคืนสู่ระดับช่วง ก่อนเกิดโควิด โดยดัชนี GDP จะอยู่ที่ 100.3 จุด
ส่วนระยะถัดไปหลังการเลือกตั้ง บ้านเรายังมีความหวังจากนโยบายหาเสียงต่างๆ ที่เน้น ความเป็นอยู่แลปากท้องของประชาชนเป็นหลัง ซึ่งน่าจะเข้ามาช่วยติดเครื่องยนต์ทาง เศรษฐกิจได้ และเชื่อว่า GDP ไทยจากนี้ไปจะเติบโตได้มากกว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2565) โดยเฉลี่ยขยายตัวเพียงปีละ 3.5%
สรุป เศรษฐกิจไทยยังมีความหวังขยายตัวได้ต่อเนื่องหลังการเลือกตั้ง จากนโยบาย หาเสียงต่างๆ ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยติดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความ เสี่ยงเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะ Recession จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ Fund Flow ไหลเข้ามาตลาดหุ้นบ้านเรามากขึ้น
ผลการเลือกตั้งเป็น ส้ม-แดง แต่ SET INDEX จะเป็นสีเขียว
ผลการเลือกตั้ง ส.ส. อย่างไม่เป็นทางการ ที่รายงานโดย กกต. (เวลา 07.30 น. นับคะแนน แล้ว 99%) พบว่าพรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส. สูงที่สุดได้แก่ พรรคก้าวไกล มีจำนวน ส.ส. รวม 151 คน ตามมาด้วย พรรคเพื่อไทย มีจำนวน ส.ส. 141 คน อันดับ 3 ได้แก่ ภูมิใจ ไทย 70 คน (ดูตารางด้านล่าง) ทั้งนี้มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ราว 75% ราว 39.2 ล้านคน
จากผลการเลือกตั้งดังกล่าว เราเห็นว่า
• เกิดการสลับขั้วการจัดตั้งรัฐบาล กล่าวคือ พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม น่าจะเป็นกลุ่ม ที่มีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล โดยในเบื้องต้นหากรวมเฉพาะพรรคฝ่ายค้านหลักเดิม อย่าง ก้าวไกล และ เพื่อไทย ซึ่งจำนวน ส.ส. อย่างไม่เป็นทางการที่รายงานโดย กกต.มีคะแนนเสียงรวมกัน มากถึง 291 เสียง ซึ่งตามหลักการก็ควรได้สิทธิในการ จัดตั้งรัฐบาล
• รัฐบาลใหม่น่าจะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ประเมินจากจำนวน ส.ส. ของ พรรคที่มีโอกาสร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้น่าจะมีจำนวนเสียงที่มากกว่า พรรค ฝ่ายค้านอย่างมีนัยสำคัญ ซื่งน่าจะทำให้ รายชื่อนายกรัฐมนตรีที่เสนอโดยพรรค ร่วมที่จัดตั้งรัฐบาลใหม่ น่าจะสามารถผ่านด่านของ ส.ว. ออกไปได้
• การเดินนโยบายรัฐบาลน่าจะมีเอกภาพมากขึ้น ด้วยคะแนนเสียงที่กระจุกตัวอยู่ ที่ไม่กี่พรรคการเมือง ทำให้จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลอาจไม่ได้มีมากนัก ซึ่ง โครงสร้างดังกล่าวน่าจะทำให้การเดินหน้านโยบายต่างๆ มีความเป็นเอกภาพ และทิศทางที่ชัดเจน
กระบวนการหลังจากนี้ เป็นหน้าที่ของ กกต. ที่จะต้องตรวจสอบ ข้อร้องเรียนต่างๆ ที่มีเข้า มาเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็จะทำการวินิจฉัย ให้ใบเหลือง –ใบแดง ซึ่งอาจมีผลทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส. อยู่บ้าง แต่ก็น่าจะเป็นส่วนน้อย เมื่อตรวจสอบและ วินิจฉัยแล้ว ก็ต้องประกาศรับรอง ส.ส. อย่างเป็นทางการ ภายใน 60 วัน นับจากวัน เลือกตั้ง โดยต้องรับรอง ส.ส. ไม่น้อยกว่า 95% หรือ 475 คน เพื่อให้สามารถเปิดประชุม รัฐสภาเป็นครั้งแรกได้
จากกรอบเวลาดังกล่าว บนสมมุติฐานว่า กกต. ใช้ระยะเวลาเต็ม 60 วัน ก็น่าจะสามารถ เปิดสมัยประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกได้ภายใน ครึ่งแรกของเดือน ก.ค. 2566 หลังจากนั้น ก็ จะเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร์ ซึ่งจะดำรงตำแหน่ง ประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งไป ด้วย เมื่อได้ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร์แล้ว กระบวนการต่อไป ก็จะเป็นวาระสำคัญ คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยจะโหวตจากบัญชีรายชื่อ ที่แต่ละพรรคการเมือง ยี่นต่อ กกต. ว่าจะเสนอให้ บุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกต้องได้เสียง เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน รวม 750 คน หมายความว่าต้องได้คะแนนเสียงสนับสนุน 376 คน ขึ้นไป เมื่อเลือก นายกรัฐมนตรีได้ แล้ว ก็จะเป็นการจัดตั้ง ค.ร.ม. นำขึ้นทูลเกล้าฯ และถวายสัตย์ปฎิญาณ ก่อนเริ่มทำหน้าที่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ส.ค.2566
และหากเจาะลึกรายละเอียดนโยบายไฮไลท์ของพรรคที่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ เริ่มจาก
• พรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 คือ พรรคก้าวไกล “เน้นปรับโครงสร้างทั้งระบบ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มสวัสดิการทุกช่วงวัย”
• พรรคคะแนนเสียงอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย “เน้นเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และ ขยายโอกาส พร้อมกับคาดหวัง GDP กลับมาเติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5%”
จากพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองดังกล่าว เชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองเชิงบวก หากจะเทียบเคียงอารมณ์ อาจคล้ายช่วงเวลาที่ พรรคไทยรักไทย ชนะเลือกตั้งแบบ Landslide ในปี 2544ซึ่งตอนนั้น SET Index ขึ้น 8.5% ในสัปดาห์แรกหลังเลือกตั้ง และ 19% ใน 1 เดือนหลังเลือกตั้ง หรือน้อยที่สุดน่าจะทำให้ SET Index ปรับขึ้นไปได้ตาม ข้อมูลเชิงสถิติในอดีต 5 ครั้งหลังสุด กล่าวคือ 3.8% ในสัปดาห์แรกหลังเลือกตั้ง และ 3.1% ในช่วง 1 เดือนแรกหลังเลือกตั้ง โดยมี Fund Flow ไหลเข้าเฉลี่ย 9 พันล้านบาท
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียง แนะนำ 6 กลุ่มหลักๆ ดังนี้ COMM (CPALL, CRC, HMPRO, COM7), FIN (MTC, SAWAD, TIDLOR) , BANK (KBANK (BK:KBANK), KTB) , FOOD (SNNP, CBG) , CONS (CK, STEC), CONMAT (SCC) สรุป ผลการเลือกตั้งแลนสไลด์เป็น ส้ม-แดง หลังจากนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ของ กกต. 60 วัน และเปิดสมัยประชุมรัฐสภาภายในครึ่งแรกของเดือน ก.ค. 2566 ต่อมา คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วจัดตั้ง ค.ร.ม. นำขึ้นทูลเกล้าฯ และถวาย สัตย์ปฎิญาณก่อนเริ่มทำหน้าที่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ส.ค.2566 ซึ่งคาดเห็น รัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากขึ้นจากการสลับขั้วอำนาจ ด้วยประเด็นดังกล่าว หนุนให้ SET Index มีโอกาสปรับขึ้นแรงเฉกเช่นสถิติในอดีต
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities