บรรยากาศการซื้อขายค่อนข้างเงียบเหงา ขณะที่ SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ แคบๆ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะของตลาดหุ้นที่ขาดปัจจัยใหม่ๆ ที่มีน้ำหนัก เข้ามา ขับเคลื่อน โดยปัจจัยในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นเรื่องนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ถูกนำเสนอออกมาเพื่อที่จะดึงดูดคะแนนนิยม ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่ก็มุ่งเน้นไปใน เรื่องปากท้อง ผ่านการให้เงินสนับสนุนแก่ครัวเรือนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บัตรสวัสดิการ เบี้ยยังชีพ การใส่เงินเข้า E-Wallet การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่ง นโยบายเหล่านี้หากถูกดำเนินการได้จริง ก็อาจเป็นตัวแปรที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ในระยะสั้น แต่ต้องแลกมาด้วยภาระของงบประมาณซึ่งปกติบ้านเราก็จัดทำ งบประมาณแบบขาดดุลมาเกือบตลอดเวลา (20 ปีที่ผ่านมา มีทำงบสมดุล 2 ปี อีก 18 ปี ขาดดุล) ซึ่งก็จะทำให้หนี้สาธารณะสูง กดดันศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
ประเมินว่า SET Index น่าจะผันผวนในกรอบแคบ และมีปริมาณการซื้อขายเบา บาง คาดวันนี้อยู่ในกรอบ 1550 – 1570 จุด ในทางกลยุทธ์ แนะนำให้ทยอยสะสม หุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ต Top Pick วันนี้เลือก BEM, CPALL (BK:CPALL) และ SCGP
เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้ง หวัง GDP โตต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2565) เติบโตเฉลี่ยเพียง 3.5% ซึ่งขยายตัว ได้ช้าลงเมื่อเทียบกับช่วงปี 2546-2555 ที่ระดับ 7.9% ขณะที่ช่วงตลอดระยะเวลา 20 ปี ล่าสุด เศรษฐกิจบ้านเราเติบโตราวปีละ 5.7%
สำหรับความหวังที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในบ้านเราหลังจากนี้ คงหนีไม่พ้นปัจจัย ทางการเมืองที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 เดือน ก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งทั่วไป โดยการ กำหนดนโยบานของแต่ละพรรคเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม หลังพรรคการเมืองต่างๆ ก็ได้ มีการนำเสนอแนวนโยบายเชิงรุก เพื่อที่จะดึงฐานเสียงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้ได้มากที่สุด
ขณะที่งบประมาณที่จะต้องใช้รองรับการใช้จ่ายตามนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ เป็นงบประมาณปี 2567 อยู่ที่ 3.35 ล้านล้านบาท โดยมียอดราว 9.3 หมื่นล้านบาท ที่พอ อนุมานว่า รัฐบาลสามารถนำไปใช้เพื่อตอบสนองแนวนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ นอกจากนี้ ยังมีแหล่งเงินที่รัฐบาลสามารถกู้เพิ่มได้อีกราว 1.56 ล้านล้านบาท (กรณีก่อหนี้สาธารณะ จนเต็มเพดาน 70% ของ GDPซึ่งโดยหลักการแล้วไม่ควรใช้จนเต็มเพดาน) อย่างไรก็ตาม หลังจากทราบผลการเลือกตั้งคงต้องติดตามว่างบประมาณการการกู้ยืมและการใช้จ่าย ได้สอดคล้องกับกำหนดนโยบายหรือไม่ และจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อย เพียงใด
ในส่วนนโยบายพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งต้องใช้จ่ายเงิน งบประมาณ และเสนอให้คณะกรรมการการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณามีทั้งสิ้น 67 พรรคการเมือง ซึ่งหลายพรรคมีนโยบายประชานิยมที่ต้องใช้งบประมาณ หลักแสนล้าน บาทขึ้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้
• พรรคเพื่อไทย จำนวนนโยบาย 70 นโยบาย วงเงินที่ต้องใช้ 3 ล้านล้านบาท
• พรรคภูมิใจไทย จำนวนนโยบาย 10 นโยบาย วงเงินที่ต้องใช้ 2.5 ล้านล้านบาท
• พรรคก้าวไกล จำนวนนโยบาย 52 นโยบาย วงเงินที่ต้องใช้ 1.3 ล้านล้านบาท
• พรรคพลังประชารัฐ จำนวนนโยบาย 14 นโยบาย วงเงินที่ต้องใช้ 1 ล้านล้านบาท
• พรรคประชาธิปัตย์จำนวนนโยบาย 11 นโยบาย วงเงินที่ต้องใช้ 6.8 แสนล้านบาท
• พรรครวมไทยสร้างชาติจำนวนนโยบาย 11 นโยบาย วงเงินที่ต้องใช้ 2.5 แสนล้านบาท
จะสังเกตได้ว่านโยบายต่างๆ เน้นแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นหลัก ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่ม COMM, FIN, BANK, MEDIA, FOOD และอื่นๆ อย่าง CONMAT, CONS อย่างไรก็ตามนโยบายหาเสียงต่างๆ ต้องดูข้อมูลงบประมาณประกอบ ว่ามีเพียงพอหรือไม่? และจะหางบประมาณส่วนไหนที่สามารถนำใช้ได้ อาทิ ประมาณ การรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน และ อื่นๆ
อีกทั้งสถิติในอดีต บ่งชี้ว่า SET Index มีแนวโน้มที่ดีในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งในอดีตก่อนการ เลือกตั้ง 1 เดือน หุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.1% และหลังเลือกตั้ง 1 สัปดาห์มีโอกาส ปรับตัวขึ้น 3.8% พร้อมกับ Fund Flow ที่ไหลเข้ามาสนับสนุนเสมอ
สรุป ประเด็นการเลือกตั้งเข้มข้นขึ้นทุกที ซึ่งต้องติดตามต่อว่าทิศทางจะเป็นเช่นไร รวมถึงแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละพรรคหามา จากไหน อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ถือเป็นการสร้าง Sentiment ที่ดีต่อเศรษฐกิจไทย และ SET Index ในระยะถัดไป
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำสะสมหุ้นธีมเลือกตั้งในกลุ่มที่ Laggard กว่าตลาด อาทิ CPALL, SCGP, BEM, AOT (BK:AOT), JMT, SINGER, SNNP, CBG, SCC, STEC, CK, CRC ส่วนหุ้น Top picks เลือก CPALL SCGP BEM
หาหุ้น SAFETY MARGIN สูง กำไรกลับไปเหนือช่วง COVID ปี 2019 แล้ว แต่ราคาหุ้นยัง LAGGARD มาก
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในไทย เพิ่มสูงขึ้นหลังช่วงสงกรานต์ ในช่วง 16–22 เม.ย. 66 อยู่ที่ 1088 ราย (สัปดาห์ก่อน 423 ราย)แต่ยังต่ำกว่า หรือลดลง จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึง -98.9%YoY ขณะเดียวกันภาพรวมผู้ติดเชื้อยังได้รับ ความรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อรอบที่ผ่านๆ มา
และหากดูข้อมูลจากในอดีต พบว่า การแพร่ระบาดโควิด หากไม่นำไปสู่การ Lockdown ตลาดหุ้นหรือ SET Index จะปรับฐานสั้นๆ ไม่ถึง 1 สัปดาห์ (แต่หากมีการ Lockdown จะย่อตัวหรือยืนในระดับต่ำนานถึง 1 – 2 เดือน)
ในอีกมุม ฝ่ายวิจัยฯ มีไอเดีย หาหุ้น Safety Margin สูง คือ หุ้นที่กำไรกลับไปเหนือ ช่วงก่อน COVID-19 (ช่วงปลายปี 2019) แล้ว แต่ราคาหุ้นยัง Laggard มาก อีกทั้ง Upside ยังเปิดกว้าง และคาดหวังการกลับมา Outperform ตลาดในระยะถัดไป ได้ ผลลัพธ์ 8 หุ้นที่น่าทยอยสะสมดังนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities