ดูเหมือนว่าจุดที่ตึงเครียดที่สุดของหลายๆ ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นมีความหวังว่าจะ คลายตัวลง เริ่มจากสถานการณ์ของปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐฯ-ยุโรป ที่ยังไม่ เห็นสถาบันการเงินที่มีปัญหาเพิ่ม่ขึ้นขณะที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ มี ความร่วมมือในการเข้าแก้ปัญหา และสุดท้ายคาดหวังว่าน่าจะทำให้แนวทางใน การปรับขึ้นดอกเบี้ยชะลอตัวลงหรือหยุดวัฎจักรขาขึ้นในรอบนี้ได้ ส่วนในบ้านเรา วานนี้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา คาดว่าจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 7 หรือ 14 พ.ค. 66 ซึ่งในมุมของการลงทุนต้องติดตามในส่วนของแนวนโยบายของพรรคการเมือง ต่างๆ ว่าจะมีผลต่อการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างไร และต้องติดตาม ทิศทางของผลการเลือกตั้ง ซึ่งรอบนี้ถือว่าคาดเดาได้ยากมาก ในด้านความเสี่ยงเชิง ภูมิรัฐศาสตร์ เห็นความหวังจากการที่จีนเคลื่อนไหวเข้ามาเป็นตัวกลางยุติปัญหา
SET Index วานนี้ปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับสำคํญบริเวณ 1543 จุด ก่อนดีดตัว กลับขึ้นมาได้ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก วันนี้คาด SET Index ผันผวนอยู่ในกรอบ 1550 – 1575 จุด หุ้น Top Pick เลือก JMT, PTTEP และ SNNP
ปัญหาสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลาย หลังธนาคารกลางต่างๆ ร่วม แก้ปัญหา
การเร่งแก้ปัญหาระบบธนาคารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเสียหายขยายเป็นวง กว้าง โดยในฝั่งยุโรปมีความคืบหน้าจากการปิดดีลของ UBS ธนาคารใหญ่อันดับหนึ่งของ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้ตกลงเข้าซื้อกิจการด้วยวงเงิน 3 พันล้านฟรังก์สวิส (3.25 พันล้าน เหรียญฯ) และมาพร้อมกับการช่วยเหลือจากทางการสวิตฯ นอกจากนี้ธนาคารกลางของ 6 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ, ญี่ปุ่น, แคนาดา, ยุโรป, สหรัฐ, สวิตเซอร์แลนด์ยังได้ประกาศความ ร่วมมือจัดตั้ง “Swap Line” สกุลเงินดอลลาร์ สำหรับการรองรับธนาคารในประเทศ ดังกล่าวที่ต้องการกู้เงิน ซึ่งจะเป็นการช่วยบรรเทาความตึงเครียดและเสริมสภาพคล่อง ให้กับระบบการเงินทั่วโลก รวมถึงลดผลกระทบต่อการจัดหาสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ
ระดับความกังวลในภาคธนาคารที่ผ่อนคลายมากขึ้น หนุนให้ตลาดหุ้นวานนี้ดีดตัวขึ้นมาอีก ทั้ง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนบวกราว +0.4% ถึง +1.2% ส่วนฝั่งยุโรปปรับตัว เพิ่มขึ้นราว +0.9% ถึง +1.3% ขณะที่เม็ดเงินไหลออกสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างดอลลาร์ที่ อ่อนค่าลงราว -0.41% มาอยู่ที่ระดับ 103.3 จุด รวมถึง Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 2 ปี และ 10 ปี ดีดตัวมาอยู่ที่ระดับ 3.98% และ 3.48% ตามลำดับ
สรุป การเร่งแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารในยุโรปที่ค่อนข้างรวมเร็ว ทำ ให้ระดับความกังวลผ่อนคลายมากขึ้น หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรพย์เสี่ยงวานนี้ และ น่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นในบ้านเราวันนี้เช่นกัน โดยคาดกรอบการ เคลื่อนไหว SET Index อยู่ที่ 1550 – 1575 จุด
ราคาน้ำมันลงมาต่ำสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน ลุ้นดีดขึ้นบ้างเก็งกำไรระยะสั้น
หลังปัญหาวิกฤต ธพ.ล้มในสหรัฐฯ ทำให้ความกังวล Recession กลับมากังวลอีกครั้ง ทำ ให้หุ้นกลุ่ม ธพ. และ พลังงานปรับตัวลงแรงมากตั้งแต่ต้นเดือน ซึ่งรวมถึงราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ปรับตัวลง 12%mtd จนทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน อย่างไรก็ตามวานนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent มีแรงดีดตัวกลับราว 1.1% ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ และยังได้ แรงหนุนเพิ่มเติม จากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่ามากขึ้น จากดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจปรับตัวลงในอนาคต ซึ่งล่าสุดผลการสำรวจ Fed Watch Tool ล่าสุดเผยว่า เพดาน การขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 5% (ซึ่ง 1 เดือนก่อนหน้านี้เพดานยังอยู่ระดับ 5.75%) และจะเห็นแนวโน้มการปรับลดลงของดอกเบี้ยในปีนี้ (ปลายปีอยู่ที่ 4%)
อีกทั้งนักลงทุนจับตาการประชุม OPEC+ 3 เม.ย.66 ว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร หลังจากใน การประชุมเมื่อ ต.ค.65 ที่ประชุมได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2 ล้าน บาร์เรล/วัน ไปจนถึงปลายปี 2566
สรุป ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสได้รับแรงหนุนเล็กๆ จากประเด็นราคาน้ำมันดิบดีดตัวกลับ ซึ่งหุ้นพลังงานกินสัดส่วน Market Cap ราว 22% ของ Market Cap ทั้งหมด ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นน้ำมันติดพอร์ตราว 10% ของสัดส่วนทั้งหมด ชอบหุ้นที่อิง ราคา Commodity อย่าง PTTEP มากสุดในกลุ่ม รวมถึงหุ้นพลังงานปิโตรฯ ตัวอื่นๆ อย่าง IVL, PTT (BK:PTT), TOP เป็นต้น
เลือกตั้ง ... เลือกผู้นำ ... SET เลือกทาง
มีพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร์ เมื่อ 20 มี.ค.2566 ซึ่งเป็นการยุบสภาฯ ก่อน ครบวาระเพียง 3 วัน หลังจากนี้ทุกภาคส่วนขององค์กรทางการเมือง ก็จะเข้าสู่โหมดของ การเตรียมเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์แบบ โดยข้อกำหนดตามกฎหมาย กำหนดให้ต้องจัดการ เลือกตั้งหลังยุบสภาแล้วไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ซึ่งหากกำหนดให้วันเลือกตั้ง ต้องเป็นวันอาทิตย์ ก็จะมีตัวเลือกเพียง 2 วัน คือ วันอาทิตย์ ที่ 7 พฤษภาคม 2566 หรือ ไม่ก็เป็นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 หลังจากวันเลือกตั้ง กกต. ต้องรับรองผลการ เลือกตั้ง ส.ส. ให้ได้ไม่น้อยกว่า 95% ภายใน 60 วัน หากใช้เวลาเต็มก็น่าจะเปิดประชุมสภา ฯ ครั้งแรกได้ในช่วงกลางเดือน ก.ค.2566 เมื่อเปิดสภาแล้ว ก็จะทำการเลือก ประธานสภา ผู้แทนราษฎร์ ซึ่งก็จะทำหน้าที่ ประธานรัฐสภาไปโดยตำแหน่ง กระบวนการถัดไป ก็จะเป็น การให้รัฐสภา (สภาผู้แทนราษฎร์ + วุฒิสภา) โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เบื้องต้นจะโหวต เลือกจากบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคเสนอขึ้นไปเป็นตัวเลือกที่จะเข้าดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี กว่าที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วเสร็จ และจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงดำเนิน กระบวนการต่างๆ จนรัฐบาลใหม่สามารถเริ่มทำงานได้ ก็จะกินเวลาช่วงเดือน ส.ค.2566 ทั้งนี้ประเด็นที่น่าจะต้องติดตาม ในส่วนที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย ได้แก่
• แนวนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ ว่าจะมีผลดี หรือผลเสีย ต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีการพูดถึงแนวทางในการ พัฒนาตลาดทุนไทยอย่างไร เช่น แนวคิดเรื่องการจัดเก็บภาษี จากการลงทุนใน ตลาดหุ้น หรือ การนำ LTF กลับมา หรือไม่อย่างไร เป็นต้น
• ผลการเลือกตั้ง ภายใต้กติกาการเลือกตั้งใหม่ที่ใช้บัตร 2 ใบ เชือว่าพรรคเล็กจะมี โอกาสชนะน้อยลง โดยในส่วนของ Party List ส.ส. 1 คน พรรคต้องมีคะแนน สนับสนุนประมาณ 3.5 แสนคะแนน ส่วนพรรคใหญ่ ประเมินจากสถานการณ์ก็ดู ไม่ง่าย เนื่องจากที่ผ่านมามีการย้ายพรรคของ ส.ส. เป็นจำนวนมาก และพรรค ใหญ่บางส่วนก็แตกออกมาเป็นพรรคขนาดกลาง-เล็ก ด้วยสภาพแวดล้อมดังกล่าว ทำให้กาคาดหมายถึงผลการเลือกตั้ง รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลทำได้ยาก ซึ่งต้อง ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
• จากกรอบเวลากว่าที่จะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ก็น่าจะเป็นช่วง กลางเดือน ส.ค.66 ซึ่งใกล้หมดปีงบประมาณ 2566 และกว่าที่กระบวนการจัดทำ งบประมาณปี 2567 ก็ต้องใช้โครงของงบประมาณปี 2566 ใช้ไปพลางก่อน ซึ่ง อาจทำให้โครงากรลงทุนใหม่ๆ ต้องชะลอออกไประยะเวลาหนึ่ง
ในมุมตลาดหุ้น คาดมีหลาย Sector ได้กระแสเชิงบวกจากนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของแต่ ละพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ยังคงเน้นการช่วยเหลือปากท้องประชาชนเป็นหลัก ดีต่อกลุ่ม COMM, FIN, BANK, MEDIA, FOOD และกลุ่มอื่นๆ ได้กระแสเลือกตั้งเฉพาะบางพรรค และความคาดหวังการลงทุนเพิ่มเติม ICT, HELTH, AGRI, CONMAT, CONS
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ทำการคัดกรองว่ามี Sector ไหนบ้างที่ได้รับกระแสการเลือกตั้ง และราคายัง Laggard SET Index ที่ลดลง -4.1%mtd อยู่มาก ผลลัพธ์ที่ได้คือ MEDIA -9.1%mtd, CONS -8.8%mtd, FIN -7.9%mtd ส่วนหุ้นเด่นใน 3 กลุ่มนี้ แนะนำ BEC, PLANB, MAJOR, STEC, CK, MTC, SAWAD, JMT, THANI คาดหวัง การกลับมาฟื้นตัว และ Outperform ตลาดในช่วงสั้นๆ ได้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities