สัญญาณผลประกอบการ 4Q65 ของบริษัทจดทะเบียนดูทรงไม่ค่อยดี โดยส่วนที่ ประกาศออกมาแล้ว 17 บริษัท พบกำไรต่ำกว่าคาด 23% และหากนำไปรวมกับ ส่วนที่ฝ่ายวิจัยทำ Preview ออกมาอีก 24 บริษัทรวมเป็น 47 บริษัทพบว่ามีกำไร สุทธิราว 7.6 หมื่นล้านบาท ลดลง 27% QoQ และ 35% YoY ภาวะดังกล่าวอาจ ถือเป็นแรงกดดันต่อ SET Index ในฤดูกาลของการประกาศผลประกอบการ ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งพบว่ามีการเปิด Short ใน Future เพิ่มขึ้น โดยวานนี้เปิด Short สุทธิ 35,148 สัญญา และรวม ยอด YTD เปิด Short สุทธิ 71,745 สัญญา ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ส่วนปัจจัยในต่างประเทศ การประกาศตัวเลข GDP งวด 4Q65 ของสหรัฐตัวเลข ออมาดีกว่าที่คาด แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ
แม้จะมีSentiment เชิงบวกจากตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในภาวะที่ความกังวล เรื่อง Recession ลดลง แต่ในส่วนของ SET Index น่าจะขึ้นได้จำกัด วันนี้กรอบ 1660 -1680 จุด หุ้น Top Pick เลือก ADVANC, CENTEL และ NER
เศรษฐกิจโลกผ่อนคลายมากขึ้น หลัง GDP สหรัฐดีกว่าคาด
สหรัฐ รายงานตัวเลข GDP Growth งวด 4Q65 อยู่ที่ระดับ +2.9% QoQ (สูงกว่าที่ตลาด คาด +2.6% QoQ) ส่งผลให้เฉลี่ยทั้งปี 2565 การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ที่ระดับ +2.1% YoY (ปี2564 +5.9% YoY) ขณะเดียวกันตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐ สัปดาห์ก่อนอยู่ที่ระดับ 1.86 แสนตำแหน่ง ดีกว่าที่ตลาดคาด 2.05 แสนตำแหน่ง รวมถึง ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 1.92 แสนตำแหน่ง ด้วยภาพเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยังคงเติบโต รวมถึงการที่จีนเปิดประเทศ ซึ่งทำให้ เศรษฐกิจทั่วโลกกลับเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง
นอกจากนี้ หากดู ข้อมูล Survey จาก Bloomberg จะเห็นการทยอยปรับเพิ่มประมาณ การ การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2566 ของสหรัฐ จากช่วงกลางเดือน ม.ค. 66 ที่ระดับ +0.3% เพิ่มขึ้นเป็น +0.5% เช่นเดียวกับ ยุโรปปรับขึ้นจาก -0.1% เป็น +0% และจีน จาก +4.8% เป็น +5.05%
อย่างไรก็ตามการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐปัจจุบันยังมีอุปสรรคในบางจุด ในกรณีที่พรรค Democratic ไม่สามารถใช้จ่ายภาครัฐได้อิสระเหมือนเดิม เนื่องจาก Republican ครอง เสี่ยงข้างมากในสภา ส.ส. จึงทำให้การใช้จ่ายภาครัฐ อาจมีอุปสรรค์มากขึ้น อาจนำไปสู่ Downside ต่อการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐได้เช่นเดียวกัน
สรุป เศรษฐกิจโลกเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หลัง GDP สหรัฐเติบโตมากกว่าคาด รวมถึง Bloomberg Survey ได้มีการปรับประมาณการณ์ GDP ของสหรัฐขึ้น ถือเป็นแรงส่งที่ ดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นในช่วงนี้
เศรษฐกิจโลกมีโอกาสชะลอตัวแบบ SOFT LANDINGแต่ยังต้องระวังความ เสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาตร์ที่จะกลับมาทวีความรุนแรง
ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะ Recession เริ่มลดระดับความกังวลลงมา จาก ปัจจัยบวกทั้งตลาดแรงงานสหรัฐที่ค่อนข้างดูดี บวกกับจีนเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66 เป็นต้นมา ทำให้การเดินทางและการขนส่งเริ่มกลับมาคึกคัก เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันสถานการณ์โควิดในจีนยังผ่อนคลายลงอย่างมีนัยฯ โดย ล่าสุดศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจีน (CDC) เปิดเผยจำนวนผู้ป่วยอาการหนักและ ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในจีน ลดลงกว่า 70% จากจุดสูงสุด มีความเป็นไปได้ที่จะไม่เกิด คลื่นระบาดลูกที่ 2 และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาฟื้นตัวจากโควิดได้ใน 2-3 เดือน ข้างหน้า ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้นเป็นบวกนับตั้งแต่ต้นปี 66 โดยตลาด หุ้นสหรัฐดีดตัวราว 2.4%Ytd ถึง 10%Ytd ขณะที่ตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปบวกราว 4.2%Ytd ถึง 10%Ytd ส่วนตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียเพิ่มขึ้นราว 0.2%Ytd ถึง 14.1%Ytd
อย่างไรก็ตามแม้ความกังวล RECESSION จะเบาลง แต่ความเสี่ยงยังไม่ได้หมดไป จึงต้อง ติดตามปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจในภาคบริโภค ภาคผลิต และภาคแรงงาน อาทิ Real Personal Income Excluding Transfers, NonFarm Payroll, Unemployment Rate, Industrial Production, Retail Sales ฯลฯ รวมถึงความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังเยอรมันเตรียมจะ มอบรถถัง Leopard 2 ที่ทรงอานุภาพให้แก่ยูเครน ซึ่งอาจเป็นฉนวนความขัดแย้งใน ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและประเทศตะวันตก และอาจกดดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูง ส่งผลต่อความผันผวนในตลาดหุ้นบางช่วงได้
สรุป ความกังวลเรื่อง RECESSION ลดระดับลงมา จากปัจจัยบวกทั้งภาคแรงงานสหรัฐ ที่ค่อนข้างดูดี ราคาพลังงานในยุโรปลดลง บวกกับจีนเปิดประเทศ จึงมีโอกาสที่ เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวแบบ Soft Landing ได้อย่างไรก็ตามความสี่ยงดังกล่าวไม่ได้ หมดไป จึงยังต้องติดตามดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่างใดล้ชิด รวมถึงระวังความเสี่ยง เชิงภูมิรัฐศาตร์ที่อาจกลับมาทวีความรุนแรงอีกครั้ง
งบ 4Q65 ทรงอย่างแบด…SET อย่างกร่อย
ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างที่จะผันผวนในช่วงนี้ผิดกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่เริ่มฟื้น ทั้ง Fund Flow ต่างชาติเริ่มมีการสลับซื้อสลับขายหุ้นไทย บวกกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิทุก วันในปีนี้ (ยกเว้นวันทำการแรกของปีเพียงวันเดียวเท่านั้นที่ซื้อสุทธิ) นอกจากนี้ยังเห็น ต่างชาติเริ่มกลับมาชอร์ตสุทธิ SET50 Futures ในวานนี้กว่า 3.5 หมื่นสัญญา (สูงสุดใน รอบเกือบ 4 เดือน)
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยู่ในช่วงเฝ้ารอดูผลประกอบการ 4Q65 รายหุ้น อีกทั้งเปิดฤดูกาลมาก็ ทรงอย่างแบด โดยมีการรายงานออกมา 17 บริษัท ลดลง (Market Cap 13.2%) มีกำไร สุทธิรวม 4.3 หมื่นล้านบาท (-30%QoQ / -21%YoY) ซึ่งหากพิจารณาจาก Bloomberg จะเห็นได้ว่า กำไร 4Q65 มีNegative Surprise หรือผิดจาก Consensus คาดการณ์ไว้ถึง 23%
และหากนำข้อมูล มารวมกับที่ฝ่ายวิจัยฯทำ Earning Preview ไว้ อีก 24 บริษัท (คิดเป็น สัดส่วน Market Cap 35%) มีกำไรรวม 7.6 หมื่นล้านบาท ลดลง -27%QoQ และ - 35%YoY ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อกำไรงวด 4Q65 และมีโอกาสที่กำไรรวมทั้งปี 2565 อาจต่ำกว่าประมาณการที่ฝ่ายวิจัยฯ คาดไว้ที่ระดับ 1.14 ล้านล้านบาท
ขณะที่ช่วงต้นเดือนหน้า (1 ก.พ.65 – 10ก.พ.65) เข้าสู่ฤดูกาลแห่งประกาศงบ 4Q65 ที่ แท้จริง โดยมีหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯทำการศึกษา 8 บริษัท อาทิ IRPC KCE (7 ก.พ.65) ADVANC (9 ก.พ.65) INTUCH SCCC GPSC GGC TOP (10 ก.พ.65) เป็นต้น ซึ่งต้องติดตามว่าจะ ทำให้ทิศทางกำไร 4Q65 จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด
กลยุทธ์การลงทุนในยามที่ “งบ 4Q65 ทรงอย่างแบด…SET อย่างกร่อย” แนะนำหุ้น พื้นฐานที่มีโอกาส Outperform ได้ดี ตามกระแสบวกจากปัจจัยภายนอก อย่าง หุ้น Tech แนะนำ ADVANC (จำนวนคู่แข่งทางธุรกิจมีน้อยลง) และหุ้น China Play CENTEL (หุ้นท่องเที่ยว ร้านอาหาร ได้แรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ) , NER (หุ้นกำไร เติบโตสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก) เป็น Top pick ในวันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities