Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% สู่รัดบ 4.5% ตามคาด ส่วนแนวโน้มในปี 2566 ประเมินว่ากรอบการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะเหลืออีกไม่มาก ขณะที่BOE และ ECB ที่จะมีการประชุมวันนี้คาดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% เช่นกัน เห็นว่าได้อัตรา การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่อยู่ในตะกร้า สำหรับการคำนวน Dollar Index มีความสมดุลมากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ความผันผวน ของอัตราแลกเปลี่ยน หรือ FX Risk ลดระดับลง ส่งผลให้การไหลของ Fund Flow เป็นธรรมชาติมากขึ้นกล่าวคือ ไหลจากจุดที่ความเสี่ยงสูง มาจุดที่ความเสี่ยงต่ำถือ เป็นทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อตลาดหุ้นไทยซึ่งเศรษฐกิจปร 2566 อยู่ในช่วงการ เติบโตสวนทางกันหลายประเทศทั่วโลก Investment Theme ที่ฝ่ายวิจัยให้ น้ำหนักได้แก่ Domestic Consumption, China Play และ EV Play
คาดว่า SET Index น่าจะยังอยู่ในช่วงของการขยับตัวสูงขึ้น โดยที่มีFund Flow เป็นแรงส่ง ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวช่วง 1620 – 1635 จุด หุ้น Top Pick เลือก CBG, MAJOR และ MTC
กลไกปรับดอกเบี้ยเข้าสู่สมดุล หนุนค่าเงินเสถียรขึ้น ลุ้น FLOW เข้าไทยต่อ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ ผันผวนอย่างหนักในช่วง Jerome Powell แถลงผลการประชุม FED โดย Dow Jones พลิกลบจากจุดสูงสุดของวัน 800 จุด ก่อนที่จะปิดติดลบ 142 จุด(- 0.42%) ขณะที่ดัชนี S&P และ Nasdaq ปรับตัวลง -0.6% และ -0.7% ตามลำดับ ซึ่ง Sentiment ลบดังกล่าวกดดันตลาดหุ้นโซนยุโรปด้วย อาทิ FTSE100, DAX, EURO Stoxx50 และ CAC40 ปรับตัวลงราว 0.1%-0.3%
โดยคณะกรรมการ FED มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ตามตลาดคาดคืนที่ผ่านมา (ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี) ขณะที่นาย Powell ปฏิเสธแนวคิดที่ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ แต่ต้องใช้ความอดทนและรัดกุมในการ ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อที่จะทำให้เงินเฟ้อลงไปอยู่ในระดับ 2% โดยการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย นโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่ FED คาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในปี 2566 สู่ระดับ 5.00-5.25% ขณะที่ปี 2567 FED มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.0% สู่ ระดับ 4.00-4.25% และลดอีก 1.0% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในปี 2568 ก่อนที่อัตรา ดอกเบี้ยระยะยาวจะปรับตัวสู่ระดับ 2.5% ตามเป้าหมาย
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษ ในเดือนพ.ย.65 ปรับตัวสู่ระดับ 10.7%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดการ์ไว้ที่ 10.9% YoY) ลดลงจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 11.1%YoY (ถือเป็นจุดสูงสุดในรอบ 41 ปี) เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงในประเทศที่ลดลงได้ช่วยบรรเทา แรงกดดันด้านราคาขาย อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับ Double Digit ตลาดจึง คาดว่าธนาคารกลางของอังกฤษหรือ BOE ยังคงเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกระยะหนึ่งเพื่อสกัดเงินเฟ้อต่อไป โดยวันนี้จับตาการประชุม ECB และ BOE ในช่วงค่ำวันนี้ที่ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ย อีก 0.50% ทั้ง 2 ธนาคารกลาง โดยการเดินหน้าเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อของ ECB และ BOE ท่ามกลางการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของ FED เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ จะทำให้ Dollar Index อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้ค่าเงินประเทศอื่นๆมี เสถียรภาพมากขึ้นรวมถึงไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยง Recession ต่ำกว่าประเทศ อื่นๆ สังเกตได้จากการฟื้นตัวของ GDP Growth ปี 2566 ที่ยังโตโดดเด่นกว่าประเทศ พัฒนาแล้ว คาดทำให้ตลาดหุ้นไทย Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ โดยได้แรงหนุนจาก Flow ต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันยังมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำราว 22.3% เท่านั้น
สรุป อัตราเงินเฟ้ออังกฤษที่ชะลอตัวลงเป็นเดือนแรก บวกกับสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ย ของ FED ที่ผ่อนคลายลงในอนาคต หนุนให้ Dollar Index อ่อนค่าต่อเนื่อง และ ผลักดันค่าเงินบาทแข็งค่า ถือเป็นหนึ่งเหตุผลที่ Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยใน ระยะถัดไป โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1620-1635/1650 จุด
WORLD BANK คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเป็น 3.4% ปีหน้าโต ต่อ 3.6%
เศรษฐไทยในปี 65 ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังการบริโภคภาคเอกชนเติบโตต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงที่ผ่านมา บวกกับภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ขณะที่ปี 66 บ้านเราอาจจะต้องเผชิญกับการชะลอตัวลงในภาคการค้าและการลงทุนตาม เศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Recession โดยล่าสุดมีสำนักเศรษฐกิจ 2 แห่ง ออกมาปรับประมาณการณ์ GDP ของไทยเพิ่มเติม ได้แก่
1. World Bank ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 65 จะขยายตัวสู่ระดับ 3.4%YoY (จากเดิม 2.9%YoY) ขณะที่ปี 66 ได้ปรับลดการขยายตัวเป็น 3.6%YoY (จากเดิม 4.1%YoY)
2. ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 65 จะขยายตัวสู่ระดับ 3.2%YoY (จากเดิม 2.9%YoY) ขณะที่ปี 66 ได้ปรับลดการ ขยายตัวเป็น 4.0%YoY (จากเดิม 4.2%YoY)
อย่างไรก็ตามแม้ GDP ของไทยจะถูกปรับลดประมาณการลงมาในปีหน้า แต่โดยภาพรวม ก็ยังถือว่าขยายตัวได้ดีกว่าหลายประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (สหรัฐฯ +1.3%YoY, ยุโรป +1.0%YoY, อังกฤษ -0.1%YoY, ญี่ปุ่น +1.5%YoY) ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ คาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตมากขึ้นจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งการลงทุน ของภาครัฐและเอกชนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (อาทิ เราเที่ยว ด้วยกัน ช้อปดีมีคืน ฯลฯ) รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย ททท. คาดว่าในปี 66 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปีนี้ หรือราว 20 ล้านคน
สรุป เศรษฐกิจไทยในปี 65 ฟื้นตัวไทยดีหลังการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น บวกกับการ ท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคัก ทั้งนี้การขยายตัวเศรษฐกิจบ้านเราในปี 66 อาจชะลอตัวลง ตามเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามยังคงคาดหวังว่าจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัย ภายในประเทศเป็นหลัก อาทิ การลงทุนของภาครัฐและเอกชน มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติม ภาคการท่องเที่ยว ฯลฯ ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นกลุ่ม Domestic Play ได้แก่ STEC, CK, AP, CRC, COM7, AOT (BK:AOT), CENTEL, ERW
3 ธีมหุ้นเด่น ครึ่งหลังเดือน ธ.ค.ช่วงมูลค่าซื้อขายเบา
ในช่วงที่เหลือของปี แม้มูลค่าซื้อขายมีโอกาสเบาลงจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลหยุดยาว คริสต์มาสและปีใหม่ แต่ยังพอเห็นธีมที่สร้าง Sentiment บวกให้กับหุ้นอยู่ 3 ธีม คือ
1. ธีมจีนทยอยเปิดประเทศ แนะนำหุ้นเด่นได้ประโยชน์ แต่ละอุตสาหกรรม AOT, NER, KCE, NOBLE, SCGP, CBG และ MTC
2. ธีมกระแสรถยนต์ EV มาแรง แนะนำหุ้นเด่น KCE, TISCO, GPSC
3. ธีมเงินเฟ้อหลายประเทศผ่านพีค แนะนำ SCGP BDMS KCE CBG MTC CENTEL ERW
รายละเอียดเชิงลึกในแต่ละธีม สามารถอ่านได้ในบทวิเคราะห์ Market Talk ฉบับวันที่ 14 ธ.ค. 65 ซึ่งหุ้นเด่นทั้ง 3 ธีมคาดว่ามีโอกาส Outperform ตลาดได้ดีในช่วงที่เหลือของปี
MAJOR หุ้นยังขึ้นน้อย กระแส AVATAR 2 แรง
ในวานนี้ 14 ธ.ค. 65 เป็นวันแรกที่หนัง AVATAR 2 ฉายในไทย โดยนักวิเคราะห์ เอเซียพลัสได้ลงพื้นที่ไปดูหนัง AVATAR 2 (ความเห็นส่วนตัวให้คะแนน 10/10) พร้อมกับ ค้นหาข้อมูลกระแสตอบรับประกอบ โดยมีมุมมองความเห็นส่วนตัวต่อกระแสธุรกิจ ดังนี้
1. ตัวโครงสร้างหนังน่าจะดึงดูดผู้ชมเข้ามาได้เรื่อยๆ -> ทั้งจากในมุมภาพและเสียง ทำ ออกมาดีเหนือชั้นมากเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกับการรอคอย 13 ปี ที่ห่างจากหนัง AVATAR ภาคแรกที่เคยทำรายได้ทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 2.9 พันล้านเหรียญ
2. คาดว่าน่าเจาะกลุ่มลูกค้าเป็นวงกว้างได้-> เนื่องจากเนื้อเรื่องดูได้ทุกเพศทุกวัย
3. กระแสตอบรับ “ดีมาก” ->
3.1 วานนี้“AVATAR2” ติด Google (NASDAQ:GOOGL) Search อันดับ 1 ในไทย
3.2 ปัจจุบัน (14 ธ.ค.) มียอดจองใน 10 วันข้างหน้า (25 ธ.ค.) ในบางโรง มีคนจองกว่า ครึ่งโรง
3.3 บริษัทมีการเพิ่มรอบฉายช่วงดึก 23.00 น. ในบางโรงภาพยนตร์
4. ราคาหุ้น Major ยัง Laggard และขยับขึ้นมาไม่มาก สังเกตได้จากผลตอบแทน mtd 0% และผลตอบแทน ytd -2% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน 19.6 บาท ยังห่างกับช่วง กลางๆปีที่ฉาย Jurassic World, THOR ราคาหุ้นเคยอยู่ที่ 22 บาทกว่าๆ
ปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาน่าจะเป็น Sentiment ที่ดีหนุนราคาหุ้น MAJOR ให้ Outperform ตลาดในช่วงที่เหลือของปีได้ราคาเป้าหมาย 21.8 บาท
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities