ในช่วง 3 วันทำการ SET Index ปรับเพิ่มขึ้นถึง 37 จุด โดยที่ยังไม่มีการ เปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานเป็นแรงหนุน ทำให้มองว่าการปรับขึ้นดังกล่าวเป็น ลักษณะของ Technical Rebound ซึ่งหากประเมินจากสถานการณ์ในช่วงเช้านี้ เชื่อว่ามีโอกาสที่กดดันให้SET Index กลับมาปรับฐานอีกครั้ง เริ่มจากตลาดหุ้น สหรัฐที่ปรับตัวลดลง 1.56%(DJIA) หลังประกาศตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ออกมาต่ำกว่าคาดกดดันให้หุ้นในกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลดลง ขณะที่สถานการณ์ของ เงินเฟ้อก็ยังรุนแรง โดยเห็นแรงปรับเพิ่มของราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคระดับสูง ซึ่ง ภาวะดังกล่าวจะนำมาซึ่งใช้นโยบายการเงินตึงตัวผ่านการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เชิงรุก ส่วนกระแสการลงทุนวันนี้ เน้นไปที่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมติ ครม. วานนี้ ไม่ ว่าจะเป็นเรื่อง เหมืองโปแตซ การปรับขึ้นค่ารถไฟฟ้า MRT หรือ Data Center
คาด SET Index ผันผวนในกรอบ 1580 – 1600 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการ ปรับเปลี่ยน โดยให้ถือเงินสดสำรอง 20% รอจังหวะซื้อหุ้นที่ระดับ SET Index ไม่ เกิน 1570 จุด หุ้น Top Pick เลือก BEM, CRC และ CENTEL
CCI สหรัฐฯออกมาต่ำคาด กังวล RECESSION มากขึ้น กดดันตลาดหุ้น ทั่วโลก
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากในเดือนมิถุนายน เนื่องจากความกังวล เรื่องเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะลดลงอย่างมาก ในช่วงครึ่งหลังของปี รวมทั้งความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปลายปี เพิ่มขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง 4.5 จุดสู่ระดับ 98.7 ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นระดับ ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2556 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 100.4 จากระดับ 103.2 ในเดือนพ.คที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นกลุ่มค้าปลีกในสหรัฐฯปรับตัวลง อาทิ ทาร์เก็ต (Target) -3.4%, โลว์ส (Lowe’s) -5.1%, วอลมาร์ท(Walmart) -1.38%
ขณะที่วันนี้นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2565 รอบสุดท้ายของสหรัฐ ซึ่งครั้งก่อนหน้าระบุว่า GDP Growth หดตัว 1.5% และการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2565 ซึ่งเป็นตัวชี้ชะตาว่าจะ Recession หรือไม่ มาพร้อมกับ FOMC Rate Decision ที่คาดจะขึ้น 0.75% ณ 28 กค 65 จึงเป็น ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สรุป CCI สหรัฐฯที่ออกมาต่ำคาด ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง ในช่วงครึ่งปีหลัง และมีโอกาสสูงขึ้นที่จะเกิด Recession ซึ่งผลลัพธ์จะออกมาวันที่ 28 กค 65
ค้นหาหุ้นในธีม CABINET PLAY หนุนพอร์ตชนะตลาด
วานนี้ครม.มีมติที่ช่วยสร้างกระแสเชิงบวกให้กับบริษัทจดทะเบียนได้หลายกลุ่ม โดยฝ่าย วิจัยฯ ทำการรวบรวมและค้นหาหุ้นในธีม “ครม. Play” ซึ่งมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
1. ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินขึ้นจากปัจจุบัน 1 บาท ใหม่จะมีอัตราเริ่มต้นที่ 17 บาท สูงสุด 43 บาท จะมีผลและจะมีผลบังคับใช้ 24 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 65 เป็นต้นไป ประเด็นดังกล่าวถือเป็นบวกต่อหุ้น BEM เนื่องจากค่าตั๋วมีการปรับเพิ่มขึ้นถึง 2.3% - 5.9% ต่อสถานี และยังได้แรง หนุนจากการทยอยเปิดประเทศ หนุนให้เกิดกิจกรรมการเดินทางเพิ่มขึ้น
2. ครม. ได้อนุมัติการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากเดิมที่ต้องเสียภาษีอัตรา 7% สำหรับผู้ให้ประกอบกิจการศูนย์ข้อมูล (Data Center) ฝ่ายวิจัยประเมิน เป็นบวกต่อ DELTA ITEL AIT และหุ้นที่ฝ่ายวิจัยทำการศึกษาและแนะนำซื้อ อย่าง INSET ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างอาคาร Data Center ที่ยังมี น้อยรายในไทย โดยมองภาพเม็ดเงินลงทุน Data Center เพิ่มขึ้นในระยะยาว และชัดเจน และมีโอกาสเปิด Upside ต่อประมาณการ INSET ที่ฝ่ายวิจัยจัดทำไว้ ในปัจจุบัน คงคำแนะนำ “ซื้อ”
3. ครม. เห็นชอบให้เดินหน้าโครงการเหมืองแร่โปแตซ ตามที่กระทรวง อุตสาหกรรมเสนอ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบปุ๋ยจาก ต่างประเทศที่เป็นสาเหตุของราคาปุ๋ยแพง ถือเป็นกระแสเชิงบวกต่อหุ้นที่ลงทุน ในบริษัททำเหมืองแร่โปแตซ อย่าง ITD TRC (ซึ่งรายละเอียดเชิงลึกกล่าวใน หัวข้อถัดไป)
ดังนั้นในภาวะตลาดหุ้นโลกผันผวน รวมถึงในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย รีบาวน์ขึ้นมากว่า 37 จุด จึงมีโอกาสพักฐานในวันนี้ได้ รวมถึงวันนี้เป็นวันสุดท้ายของ การซื้อขายสัญญา S50M22 ซึ่งตลาดมักจะผันผวนมากกว่าปกติในช่วงท้ายๆตลาด ก่อนตลาดปิดวันนี้แต่ยังเชื่อว่าหุ้นที่อยู่ในธีม “ครม. Play” จะมีแรงหนุนและ แข็งแกร่ง
ครม. อนุมัติเดินหน้าเหมืองโปแตซ สร้างกระแสเก็งกำไรให้ ITD,TRC
วานนี้หุ้น ITD ,NWR,TRC มีราคาปรับขึ้นร้อนแรง โดย ITD ปรับขึ้น 20%,NWR ปรับขึ้น 14.3% และ TRC ปรับขึ้น 28.6% หลังที่ประชุม ครม. เห็นชอบให้เดินหน้าโครงการ เหมืองแร่โปแตซ จังหวัดอุดรธานี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เพื่อช่วยแก้ปัญหา การขาดแคลนวัตถุดิบปุ๋ยจากต่างประเทศที่เป็นสาเหตุของราคาปุ๋ยแพง ขั้นตอนจากนี้ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะเร่งออกประทานบัตรให้กับ บริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ ITD ถือหุ้นทางอ้อม 90% คาดใช้ เวลาไม่เกิน 1 ปี ในการเริ่มต้นดำเนินการ โดยเหมืองแร่แห่งนี้มีปริมาณการผลิต 2 ล้าน ตันต่อปี คาดปริมาณการผลิตตลอดอายุโครงการ 25 ปี อยู่ที่ 33.67 ล้านตัน เบื้องต้น มูลค่าการลงทุนโครงการประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท โดย ITD มีแผนจะลดสัดส่วนการ ถือหุ้นลงให้เหลือน้อยกว่า 50% หลังได้ประทานบัตร ณ สิ้น 1Q65 ITD ใช้เงินลงทุนใน เหมืองโปแตซไปแล้ว 3,250 ล้านบาท หากเปรียบเทียบกับบริษัทที่ทำธุรกิจเหมือง โปแตซในต่างประเทศปัจจุบันซื้อขายที่ PBV 4-7 เท่า ดังนั้นหาก ITD ลดสัดส่วนการถือ หุ้นในเหมืองโปแตซลงจาก 90% เหลือ 50% โดยขายในราคาสูงกว่ามูลค่าเงินลงทุน 4 เท่า จะทำให้เกิดกำไรเกิดราว 5.2 พันล้านบาท ช่วยเพิ่มมูลค่าตามบัญชีให้ ITD ได้อีก 1.00 บาท/หุ้น ทำให้มูลค่าตามบัญชีเพิ่มจาก 2.37 บาท/หุ้น เป็น 3.37 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตาม กรอบเวลาในการพัฒนาโครงการและราคาที่ ITD ขายได้ยังไม่มีความ ชัดเจน หากไม่นับรวมโครงการเหมืองโปแตซ ฝ่ายวิจัยแนะนำ Switch จากจุดอ่อน สำคัญเรื่องความสามารถในการทำกำไรของ ITD ที่ต่ำมาก และยังมีความเสี่ยงเรื่อง การตั้งสำรองหลายรายการอาทิ โครงการทวาย ที่อาจทำให้มูลค่าตามบัญชีลดลงได้ อีก ประเมินราคาเหมาะสม วิธี Adjusted PBV 1 เท่า ได้ที่ 1.96 บาท แต่สำหรับนัก ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง อาจเก็งกำไรหุ้น ITD ได้ในกรอบราคาสูงสุดไม่เกิน 3.37 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าตามบัญชีที่เป็นไปได้ หาก ITD สามารถขายหุ้นเหมือง โปแตซและมีกำไรตามที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้
ขณะที่ TRC ถูกเก็งกำไรจนราคาหุ้นวิ่งชนซิลลิ่ง 0.36 บาท ในฐานะที่ถือหุ้น บมจ. อาเซียนโปแตชชัยภูมิ (APOT) ซึ่งพัฒนาเหมืองโปแตช เช่นเดียวกัน แต่อยู่ที่จังหวัด ชัยภูมิ โดย APOT ได้ประทานบัตรทำเหมือแร่มาตั้งแต่ปี 2558 แต่ประสบปัญหาเงินทุน หมุนเวียนและมีความไม่แน่นอนในการหาแหล่งเงินทุนมาพัฒนาโครงการเหมืองแรโปแตซ ทำให้ TRC ตั้งด้อยค่าเงินลงทุน 1,212 ล้านบาทในงวด 4Q61 และยืนยันว่าจะ ยังไม่เข้าไปมีส่วนร่วมใดๆในโครงการดังกล่าวจนกว่าจะมีความชัดเจนที่มากกว่านี้
สำหรับ NWR ราคาปรับขึ้นตาม ITD เพราะถูกมองว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ITD เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่มีนามสกุลเดียวกัน แต่จากการสอบถามไม่พบความเกี่ยวข้องกับ โครงการเหมืองโปแตซ ในทางพื้นฐานถือว่า NWR มีความแข็งแรงกว่า ITD โดยจะเห็น พัฒนาการเรื่องรายได้ที่เติบโตก้าวกระโดดในปีนี้ แนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเหมาะสมอิง PBV 1 เท่า ได้ที่ 0.89 บาท
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities