ท่ามกลางความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่คิดจะหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย การฟื้นตัวกลับขึ้นมาของราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อาจต้องสะดุดเมื่อกลุ่ม G7 คิดที่จะรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านเพื่อแก้ปัญหาที่รัสเซียเริ่มใช้การส่งน้ำมันเป็นข้อตกลงกับทางยุโรปมากขึ้น
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคของราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ เราจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบ WTI กำลังฟื้นตัวกลับขึ้นมา แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่กลุ่มผู้นำของประเทศที่พัฒนาแล้ว 7 ประเทศหรือ G7 จะหารือร่วมกันในสัปดาห์นี้ ถึงวิธีการแก้ปัญหาที่รัสเซีียจะลดการส่งพลังงานมายังยุโรปลงเรื่อยๆ เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขกดดันให้ยุโรปยอมวางมือไม่ให้ความช่วยเหลือยูเครนอีก
G7 จะหารือถึงโอกาสในการรื้อฟื้นการเจรจานิวเคลียร์ของอิหร่านหลังจากฝ่ายหัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรปได้พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเตหะราน เพื่อพยายามแก้ไขการเจรจาที่ยังไม่ประสบความสำเร็จนี้ให้ได้ ตัวแทนของประธานาธิบดีฝรั่งเศสกล่าวเมื่อวันอาทิตย์
ทีน่า เต็ง นักวิเคราะห์จาก CMC Markets กล่าวกับสำนักข่าวของรอยเตอร์ว่า
“ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนอาจให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นการเจรจาสนธิสัญญานิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวของการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 1.8% เพิ่มขึ้นจากขาลงของสัปดาห์ก่อนหน้านั้นอีก 9.2% และวันนี้ ในช่วงเวลาบ่ายสองสิบนาทีตามเวลาท้องถิ่นของสิงคโปร์ ราคาน้ำมันดิบ WTI ได้ปรับตัวลดลงอีก 0.3% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $107.31 ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังทรงตัว หลังจากที่ปรับตัวลดลงมาก่อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 7.3% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $108.84 ต่อบาร์เรล
Sunil Kumar Dixit หัวหน้านักวางยุทธศาสตร์การวิเคราะห์เทคนิคของ skcharting.com มองว่า
“ตอนนี้นักลงทุนในตลาดเอาแต่พูดกันว่าราคาน้ำมันอาจดีดตัวกลับขึ้นมาได้ในระยะสั้น แต่ในความเห็นของผมนั้นขาขึ้นระยะสั้นอาจจบเพียงเท่านี้ (จบที่กรอบราคา $109 - $111 ต่อบาร์เรล) ก่อนที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวลง ก่อนเข้าสู่เทรนด์ขาขึ้นครั้งใหม่ที่มีโอกาสขึ้นไปถึง $123 - $130 ต่อบาร์เรล การขึ้นยืนเหนือ $111 จะเพิ่มโอกาสให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปที่ $113 - $115 ต่อบาร์เรล การกลับขึ้นไปเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัวนั้น ราคาน้ำมันจะต้องขึ้นยืนเหนือ $123 ต่อบาร์เรลให้ได้ก่อน ซึ่งสำหรับตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่น้อยมาก”
แม้ว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะสามารถปิดเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบสี่สัปดาห์ แต่ด้วยความจริงที่ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็นข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงเงินเฟ้อลดลง นั่นก็ยิ่งทำให้นักลงทุนไม่เชื่อขาขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอย่างสนิทใจได้ ตามข้อมูลตัวเลขราคาที่อยู่อาศัยใหม่เมื่อวันศุกร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ออกมาเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมสูงถึง 11% ซึ่งเกินการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้น ทำให้เฟดต้องเจองานยากให้การความคุมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดการเติบโตของเงินเฟ้อ
อย่างที่เราทราบกันไปแล้วว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนพฤษภาคมปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.6% YoY สูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ 2% ไปมาก และยิ่งราคาที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเกณฑ์วัดเงินเฟ้อ ขึ้นไปเกือบ 30% ก็ยิ่งทำให้นักเศรษฐศาสตร์เป็นกังวล แมรี่ ดาลีย์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า
“จะเป็นเรื่องน่ายินดีมากหากตัวเลขความต้องการที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง ถ้าตอนนี้ตลาดอยากให้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% อีกครั้ง เฟดก็ควรตอบสนองความต้องการนั้น เพื่อที่เราจะได้กลับไปอยู่บนนโยบายการเงินอย่างที่เราเคยทำภายในสิ้นปี 2022 นี้ให้ได้”
คำพูดของแมรี่ทำให้ตลาดลงทุนเชื่อว่าอาจจะได้เห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.75% อีกครั้งในการประชุมเดือนหน้า เฟดต้องการที่จะทำให้อัตราการกู้ยืมซึ่งตอนนี้อยู่ในกรอบ 1.5-1.75% นั้นขึ้นเป็น 4.5-4.75% ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ เฟดยังตั้งใจที่จะเริ่มขายพันธบัตรที่ถือเอาไว้เพื่อกดเงินเฟ้อลงมาให้เร็วที่สุด ข้อความของแมรี่นั้นค่อนข้างชัดเจน ว่าถ้าอยากให้เฟดลดความดุดันในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ชาวอเมริกันก็ต้องหยุดซื้อบ้านด้วย
สัปดาห์นี้จะมีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่นักลงทุนสามารถใช้พิจารณาว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะลดลงบ้างหรือไม่ นั่นคือรายงานตัวเลขดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล ที่จะให้ตัวเลขกันในวันพฤหัสบดีนี้ ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ พวกเขาจะให้ความสำคัญกับรายงานตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิต
นอกจากนี้จะมีถ้อยแถลงของประธานเฟดหลายคนที่นักลงทุนควรจับตาไม่ว่าจะเป็นจอห์น วิลเลียม แห่งนิวยอร์ก โรแรตต้า เมสเตอร์ แห่งคลีฟแลนด์ และเจมส์ บลูราร์ด แห่งเซนต์หลุยส์
สำหรับราคาทองคำ เราประเมินว่าราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนสิงหาคมบนตลาด COMEX อาจปรับตัวอยู่ในกรอบราคาไม่ใกล้จาก $1,850 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคาทองคำปรับตัวลดลงเพียง 0.6% เท่านั้น กราฟรูปนี้แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือกรอบราคาระหว่าง $1,815 - $1,820 ก็ยังมีโอกาสที่ราคาขึ้นไปถึง $1,830 - $1,835 และ $1,844 - $1,850
แต่ถ้าไม่สามารถขึ้นยืนเหนือกรอบราคา $1,830 - $1,835 มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงมายัง $1,810 - $1,800 และ $1,790 - $1,780