ถ้าหากถามนักลงทุนในตลาดหุ้นตอนนี้ว่าใช้ตัวเลขเศรษฐกิจอะไรในการประเมินสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องตอบว่าพวกเขาดูตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือมาตรวัดเงินเฟ้อเป็นหลัก ล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมของสหรัฐอเมริกากระโดดขึ้นเป็น 8.6% ขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบสี่ทศวรรษ
นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าพร้อมขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2022 ตราบใดที่เงินเฟ้อยังไม่หยุดเติบโต การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล และความกังวลที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่จะมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้กลายเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ ครั้งที่เกิดมรสุมทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทุกกลุ่มหุ้นที่จะปรับตัวลดลง ยกตัวอย่างเช่นในช่วงระหว่างปี 1973 และ 2020 หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานเช่นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ 71% ของเวลาทั้งหมดและให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีตามจริงโดยเฉลี่ย 9.0% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีหุ้นกลุ่มอื่นที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, สินค้าอุปโภคบริโภค, การเงิน, สาธารณูปโภค, การดูแลสุขภาพ, อุตสาหกรรมและวัสดุ
นั่นจึงเป็นที่มาของบทความนี้ เพราะเราจะพาไปดูกองทุน ETF ที่ลงทุนอยู่ในหุ้นบริษัทเหล่านี้ และมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2022
1. Global X S&P 500 Covered Call ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $42.27
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $41.79 - $51.16
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 11.71%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.60% ต่อปี
การลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงกับกลยุทธ์การลงในตลาดออปชันกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูง และไม่สามารถเข้าซื้อหุ้นได้ เพราะการลงทุนเช่นนี้อนุญาตให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากตลาดแนวโน้มขาลงได้ กองทุนแรกที่เราจะมาแนะนำในวันนี้มีชื่อว่า Global X S&P 500 Covered Call ETF (NYSE:XYLD) เป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดออปชัน ที่ใช้กลยุทธ์ “covered call” กับหุ้นบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 หรือจะพูดให้ง่ายก็คือนี่คือกองทุนที่ซื้อหุ้นบริษัทบนเอสแอนด์พี 500 ที่ขายคำสั่งคอลออปชัน
XYLD เป็นกองทุนที่เริ่มต้นเทรดมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2013 มีสินทรัพย์รวมทั้งหมดหมด $1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ จากจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2021 ตอนนี้ราคาได้ลงมาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน คิดเป็นการปรับตัวลดลงมาแล้วทั้งหมด 17% ในรอบ 12 เดือนล่าสุด XYLD ปรับตัวลดลง 13.4% แต่ยังสามารถให้ปันผลรายเดือนได้ 11.7% เมื่อเทียบกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ให้ตอบแทนอยู่ที่ 1.6%
2. JPMorgan Alerian MLP Index ETN
- ระดับราคาปัจจุบัน: $19.44
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $16.47 - $23.16
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 8.87%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.85% ต่อปี
งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้เขียนถึงห้างหุ้นส่วนจำกัดหลักหรือ (MLP) เอาไว้ว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตของ MLPs ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 8% นั่นจึงเป็นที่มาของกองทุนตัวที่สองของเรา ซึ่งมีชื่อว่า JPMorgan Alerian MLP Index ETN (NYSE:AMJ) กองทุนตัวนี้เป็น ETN ที่ลงทุนในบริษัท MLP ด้านพลังงานในทวีปอเมริกาเหนือ
ETN เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยผู้ออกตราสารหนี้ เช่น ธนาคาร ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีสินทรัพย์จำนวนมากเเล้วมาออก ยกตัวอย่างเช่นธนาคารเจพี มอร์แกน JPMorgan Chase (NYSE:JPM) ที่สามารถออก ETN ให้กับนักลงทุนได้ ความแตกต่างระหว่าง ETN และ ETF คือการประเมินความเสี่ยงที่ ETN มาจากธนาคาร ในขณะที่ ETF มาจากกลุ่มคนที่สร้าง ETF นั้นขึ้นมา
AMJ เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2009 ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 24 ตัว อ้างอิงราคาตามดัชนี Alerian MLP Index หุ้น 10 อันดับแรกของกองทุนคิดเป็นสัดส่วน 65% ได้แก่ Magellan Midstream Partners LP (NYSE:MMP), Enterprise Products Partners LP (NYSE:EPD), Energy Transfer LP (NYSE:ET), MPLX LP (NYSE:MPLX) และ Plains All American Pipeline LP (NASDAQ:PAA)
นับตั้งแต่เดือนมกราคมมาจนถึงปัจจุบัน AMJ ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 9% ขึ้นสร้างจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 8.5% โดยประมาณ นักลงทุนที่ต้องการได้กำไรจากหุ้นกลุ่มพลังงาน และสร้างผลตอบแทนในช่วงเงินเฟ้อสามารถพิจารณาลงทุนใน AMJ ได้