ความนิยมในการลงทุนกับกองทุนรวม ETF ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง แม้ว่าการจะหาแนวรับที่ราคาพอจะยืนอยู่ได้บ้างในสถานการณ์ตลาดลงทุนปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นเสียเหลือเกิน ข้อมูลล่าสุดจากตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) เปิดเผยว่าตลาด ETF ของสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมมากกว่า $6.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีจำนวนกองทุนรวม ETF ทั้งหมด 2,950 กองทุน ในปีที่ผ่านมา มีกองทุน ETF เกิดใหม่เกือบ 500 ตัวเลยทีเดียว
ความผันผวนของตลาดลงทุนในปัจจุบันที่ไม่มีสินทรัพย์ใดสามารถเข้าไปลงทุนได้อย่างสนิทใจเลยนั้นทำให้นักลงทุนต้องการยังคงตามหาสินทรัพย์ที่สามารถพักเงินได้อย่างสบายใจมาตลอดทั้งปี นอกจากการถือครองดอลลาร์เอาไว้เฉยๆ การลงทุนใน ETF ที่มีความสามารถในการกระจายความเสี่ยงก็เป็นหนึ่งในวิธีการเอาตัวรอด
นั่นจึงเป็นที่มาของการแนะนำกองทุน ETF น้องใหม่ในวันนี้ แต่เพราะพึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ประวัติการวิ่งของราคาและจำนวนสินทรัพย์จึงยังมีไม่สูงมากนัก แต่ไหนๆ ตลาดก็ได้เข้าสู่สภาวะหมีอย่างเป็นทางการแล้ว การเริ่มต้นลองลงทุนกับอะไรใหม่ๆ อาจทำให้นักลงทุนเจออะไรดีๆ ก็เป็นได้
1. Merk Stagflation ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $24.40
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $24.40 - $25.85
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.45% ต่อปี
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ธนาคารโลกได้ออกประกาศเตือนถึงความเสี่ยงของภาวะ stagflation หรือสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูงแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่อัตราการว่างงานจะเพิ่มสูงขึ้น เดวิด มอลพาสส์ (David Malpass) ประธานธนาคารโลกกล่าวว่าให้เตรียมตัวรับมือผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อภายในปีนี้ และปีหน้าได้เลย ข้อมูลตัวเลขล่าสุดของธนาคารโลกกล่าวว่า
“อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระหว่างปี 2021 - 2024 มีโอกาสชะลอตัวมากกว่า 2.7% หรือคิดเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปี 1976 และ 1979”
นักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาเตือนเราให้มองกลับไปยังภาวะซบเซาในปี 1970 และการคว่ำบาตรน้ำมันของกลุ่มโอเปกในปี 1973-1974 เมื่อ ประธานาธิบดีนิกสันพยายามบรรเทาปัญหาเหล่านี้โดยการลดค่าเงินดอลลาร์และประกาศการตรึงค่าจ้างและราคาสินค้า
เมื่อการออมเงินไว้ในบัญชีไม่ใช่ทางออกของการต่อสู้กับเงินเฟ้อในตอนนี้แน่นอนแล้ว เราจึงมาแนะนำกองทุนใหม่ที่มีชื่อว่า Merk Stagflation ETF (NYSE:STGF) จากชื่อกองทุนก็บอกอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นมาเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสภาวะ stagflation กองทุนนี้เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (TIPS) ทองคำ น้ำมันดิบ และอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ความหนักเบาของการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละตัวจะขึ้นอยู่กับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
STGF อ้างอิงราคาตามดัชนี Solactive Stagflation Index พึ่งจะเปิดให้เริ่มต้นลงทุนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีสินทรัพย์อยู่ภายใต้การจัดการทั้งหมด $1.97 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันกองทุนนี้ลงทุนในกองทุนอื่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น
- Schwab U.S. TIPS ETF (NYSE:SCHP) ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 11.5%
- Invesco DB Oil Fund (NYSE:DBO) ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 49.3%
- VanEck Merk Gold Trust (NYSE:OUNZ) ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 1.2%
- Vanguard Real Estate Index Fund ETF Shares (NYSE:VNQ) ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 24.7%
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มต้นเปิดกองทุนมาจนถึงปัจจุบัน ราคากองทุนได้ปรับตัวลดลงไป 1.5% แล้ว แต่สำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่า TIPS ทองคำ น้ำมัน และอสังหาริมทรัพย์จะสามารถเป็นหลุมหลบภัยป้องกันเงินเฟ้อได้นั้น สมควรพิจารณา STGF เอาไว้ในพอร์ตการลงทุน
2. VanEck Digital Assets Mining ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $13.84
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $13.81 - $46.05
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.50% ต่อปี
ข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดเปิดเผยว่า
“ขนาดของตลาดบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล (DAM) คาดว่าจะโตขึ้นจาก $4,200 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2022 ขึ้นเป็น $8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 โดยมีอัตราการเติบโตของพอร์ตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ 13.6%”
แม้ว่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลจะเคยเฟื่องฟูอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงปี 2020 - 2022 แต่เมื่อมาถึงปีนี้ กลับกลายเป็นหนังคนละม้วน ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ตลาดสกุลเงินดิจิทัลได้ปรับตัวลดลงอย่างหนัก สกุลเงินดิจิทัลชื่อดังอย่างบิทคอยน์และอีเทอเรียมได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 52% และ 67% ตามลำดับ หุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับคริปโตฯ ต่างก็ประสบชะตากรรมขาลงอย่างรุนแรงไม่ต่างกัน
แต่สำหรับคนที่ยังเชื่อมั่นในอนาคตอันยาวไกลของสินทรัพย์ดิจิทัล เราขอแนะนำกองทุน ETF ที่มีชื่อว่า VanEck Digital Assets Mining ETF (NASDAQ:DAM) กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนในช่วงต้นเดือนมีนาคม ปัจจุบันถือครองสินทรัพย์อยู่ทั้งหมด $1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน DAM ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 25 ตัว อ้างอิงราคาตามดัชนี MVIS Global Digital Assets Mining Index ครึ่งหนึ่งของหุ้นบริษัทที่ DAM ถือเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วย แคนาดา จีน เยอรมัน ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร
หุ้น 10 อันดับแรกคิดเป็น 60% ของพอร์ต หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Riot Blockchain (NASDAQ:RIOT), Marathon Digital Holdings (NASDAQ:MARA), Canaan (NASDAQ:CAN), Hut 8 Mining (NASDAQ:HUT) และ Northern Data (F:NB2)
ราคาของ DAM ร่วงลงตามตลาดคริปโตฯ ในปัจจุบัน นับตั้งแต่วันที่เปิดให้ลงทุนจนถึงปัจจุบัน ราคาของกองทุนร่วงลงมาแล้ว 63.2% สำหรับคนที่ต้องกหาร ETF ที่ลงทุนในวงการคริปโตฯ DAM ควรค่าแก่การพิจารณา แต่อาจจะต้องรอให้ขาลงในตลาดเย็นลงมากกว่านี้อีกสักระยะจึงจะปลอดภัย