ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความรู้สึกของนักลงทุนในตลาดมาเกือบตลอดทั้งปีคือเงินเฟ้อที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจังของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อไล่จับเงินเฟ้อนั้นให้ทัน ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้การรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) กลายเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่คนให้ความสำคัญมากกว่าตัวเลขการจ้างงานเสียอีก และสำหรับตัวเลข CPI ของเดือนพฤษภาคม เราก็จะได้ทราบกันในวันพรุ่งนี้แล้ว
การประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้าและเดือนถัดไป ตลาดลงทุนคาดว่าจะมีการปรับตัวขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% เช่นครั้งล่าสุด แต่ถ้าหากตัวเลข CPI ในวันพรุ่งนี้ออกมามากกว่าที่คาดการณ์ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการพูดถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% อีกครั้งในการประชุมของเฟดเดือนกรกฎาคมและกันยายน
อ้างอิง: Investing.com
แม้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะไม่มีใครอยากจะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น แต่ก็ยังมีหุ้นที่เรามองว่าน่าสนใจและมีความโดดเด่นในแต่ละกลุ่มหุ้นของตัวเอง ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้อย่างโดดเด่นภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ว่าเฟดจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ก็ตาม
1. Palo Alto Networks
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -5.3%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $5,250 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นตัวแรกที่เราอยากจะทำเสนอในบทความนี้เป็นหุ้นของบริษัท Palo Alto Networks (NASDAQ:PANW) เป็นบริษัทระดับแนวหน้าที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ Palo ให้บริการองค์กรมากกว่า 70,000 องค์กรใน 150 ประเทศ ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือแพลตฟอร์มที่มี firewalls สุดล้ำ มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งในแง่ของเครือข่ายภายในองค์กร และระบบคลาวด์
ตามความเห็นของเรา บริษัท Palo อยู่ในจุดที่พร้อมจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พิจารณาจากข้อมูลงานวิจับที่ระบุว่าปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทำให้คนหันมาให้ความสำคัญและลงทุนกับระบบการรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์มากขึ้น ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้น PANW ปรับตัวลดลงมาแล้ว 5.3% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันอังคารนี้อยู่ที่ $527.00 ปรับตัวลดลงมา 18% จากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $640.90 ในวันที่ 20 เมษายน
ความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 แบบปีงบประมาณในวันที่ 19 พฤษภาคมสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้อย่างสบายๆ กำไรที่เพิ่มขึ้นคิดเป็น 49% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว คิดเป็นเงิน $1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อพูดถึงอนาคต บริษัท Palo ได้เพิ่มตัวเลขคาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปี พวกเขาเชื่อว่าความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์จะเป็นเหตุผลหลักให้ประสบความสำเร็จ
จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักวิเคราะห์ของ Investing.com 33 จาก 36 คนถึงยกให้หุ้น PANW เป็นหุ้นน่าซื้อ โดยสามคนที่เหลือนั้นให้หุ้นตัวนี้อยู่ในระดับ “กลาง” และไม่มีใครที่มองว่าสมควรขายเลยแม้แต่คนเดียว ในผลสำรวจนี้ยังบอกอีกว่าหุ้น PANW มีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับราคาในปัจจุบัน 20.5% มีราคาเป้าหมายภายในกรอบเวลาอีก 12 เดือนที่ $635.25
อ้างอิง: Investing.com
2. Phillips 66
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -5.3%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $5,250 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นตัวถัดมาเป็นหุ้นของบริษัทผู้ผลิตและกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกานาม (NYSE:PSX) ก่อนหน้านี้พวกเขาเปิดตัวเข้าสู่วงการในฐานะบริษัทผู้ผลิตน้ำมันอิสระ ConocoPhillips (NYSE:COP) ก่อนที่จะแยกตัวออกมายืนด้วยลำแข้งตัวเองอย่างเป็นทางการในปี 2012
นอกจากการผลิตน้ำมัน พวกเขายังทำการแข่งขันในตลาดก๊าซธรรมชาติ LNG และการกลั่นด้วย นอกจากจะเป็นผู้ผลิต Phillips ยังเป็นผู้ค้นหา ขุด กลั่น ขนส่ง และส่งมอบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติด้วยตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของ PSX ปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 52% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันอังคารนี้อยู่ที่ $109.92 สร้างจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2020
ด้วยผลงานขาขึ้นอันโดดเด่นในปีนี้ บริษัท Phillips 66 จึงได้ประกาศแฟนซื้อหุ้นคืน หลังจากที่ต้องระงับไปในช่วงเดือนมีนาคมปี 2020 เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้บริษัทยังได้เพิ่มการปันผลในแต่ละไตรมาสขึ้น 5% คิดเป็น $0.97 ต่อหุ้น เช่นนี้จึงสามารถคำนวณอัตราการปันผลต่อปีได้ว่าเป็น 3.53% หรือ $3.88 กลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าลงทุนในปัจจุบัน
เมื่อเทียบอัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้น (P/E) กับบริษัทคู่แข่งอย่าง Marathon Petroleum (NYSE:MPC) และ Valero Energy (NYSE:VLO) พวกเขามีค่า P/E อยู่ที่ 18.4 ซึ่งถือว่าถูกมากกว่าบริษัทคู่แข่งที่กล่าวถึง ความต้องการพลังงานในปัจจุบันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีส่วนกับการเติบโตของหุ้น PSX จนทำให้บริษัทมีกำไรและยอดขายเพียงพอที่จะมาใช้หนี้เมื่อสองปีก่อนคืนให้กับผู้ถือหุ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก InvestingPro ที่คำนวณหุ้นน่าลงทุนมาจากค่า P/E และ P/S พบว่าค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นตัวนี้ที่ควรจะเป็นนั้นอยู่ที่ $126.30 มีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับราคาปัจจุบันอีก 14.9%
อ้างอิง: InvestingPro+
3. Bank of America
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -18.3%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $292,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับหุ้นตัวสุดท้ายนี้คงไม่ต้องแนะนำชื่อเสียงเรียงนามกันมากก็เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว Bank of America (NYSE:BAC) หรือ “BofA” เป็นหนึ่งในสี่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา BofA ถือเป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพร่วมกับธนาคารชื่อดังอย่าง PMorgan Chase (NYSE:JPM), Wells Fargo (NYSE:WFC) และ Citigroup (NYSE:C)
เมื่อวัดจากบัญชีเงินฝากทั้งหมดของชาวอเมริกันพบว่า BofA กินส่วนแบ่งการตลาดไปถึง 11% ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของ BofA ปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 18% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาอยู่ที่ $36.35 ถ้าคิดจากตัวเลขมูลค่าตามราคาตลาด ตัวเลข $292,700 ล้านเหรียญสหรัฐถือว่าใหญ่เป็นอับดับสองรองจากเจพีมอร์แกน
แม้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ในมุมของธนาคาร ยิ่งเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีกำไรมากขึ้นเท่านั้น หุ้นกลุ่มธนาคารถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่อ่อนไหวต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมากที่สุด ในไตรมาสที่ 1 มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเปิดเผยข้อมูลว่า ถ้ามีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 100 จุดเบสิส BofA จะมีกำไรภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า $5,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
สิ่งที่ทำให้หุ้น BofA น่าสนใจน่าสนใจกว่าหุ้นธนาคารตัวอื่นเพราะมีอัตรา P/E ถูกที่สุด มีอัตราการปันผลรายปีอยู่ที่ 2.31% หรือคิดเป็น $0.84 ต่อหุ้น สูงกว่าอัตราผลตอบแทนโดยนัยของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 1.41%
อ้างอิง: Investing.com
ผลสำรวจจากนักวิเคราะห์ของ Investing.com 15 จาก 28 คนยกให้หุ้นของ BofA อยู่ในระดับ “โดดเด่น” ส่วนอีก 13 คนที่เหลือเลือกที่จะให้ถือครองเอาไว้ก่อน ระดับราคาเป้าหมายของหุ้นตัวนี้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ $47.00 มีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับราคาปัจจุบัน 30% ภายในระยะเวลาอีก 12 เดือนข้างหน้า เมื่อคำนวณจาก InvestingPro+ พบว่าหุ้นของ BofA มีโอกาสปรับตัวขึ้นอีก 24% ภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า และมีมูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นอยู่ที่ $45.09
อ้างอิง: InvestingPro+