ถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีนักลงทุนขาขึ้นคนไหนกล้าเข้ามาในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างแท้จริง การประกาศว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2022 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ทำให้นักลงทุนหนีหาย ไปลงทุนกับสินทรัพย์สำรองปลอดภัยกันหมด เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบไปยังทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา
แม้แต่บริษัทที่เคยมีมูลค่าราคาตลาดสูงที่สุดในโลกอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ก็หนีเรื่องนี้ไม่พ้น จากขาลงของหุ้นแอปเปิลในปัจจุบัน สามารถตีความได้เลยว่ายังมีที่ให้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงอีกมาก นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้หุ้นของบริษัทผู้ผลิต iPhone ได้ปรับตัวลดลงมาแล้วมากกว่า 19% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $142.56
ขาลงครั้งนี้ยังส่งผลให้บริษัทเสียแชมป์ในฐานะที่เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในโลกให้กับบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของซาอุดิอาระเบีย “ซาอุดิ อารัมโก” (TADAWUL:2222) ราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทอารัมโกได้กำไรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนตอนนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มาร์เก็ตแคปของซาอุดิ อารัมโกมีตัวเลขอยู่ที่ $2,430 ล้านเหรียญสหรัฐ เอาชนะมาร์เก็ตแคปของบริษัทแอปเปิลได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020
แน่นอนว่าขาลงครั้งนี้ได้นำมาซึ่งคำถามว่า “หุ้นแอปเปิลจะลงไปจนถึงเมื่อไหร่?” แต่เพราะว่าแอปเปิลเป็นบริษัทที่มีอิทธิพลในโลกใบนี้มาก จึงยังมีคนเชื่อว่าหุ้นของบริษัทผู้ผลิต iPad จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้หลังจากช่วงเวลาแห่งการปรับฐานใหญ่ครั้งนี้ ความยิ่งใหญ่ของหุ้นแอปเปิลสามารถเป็นได้ถึงสินทรัพย์ปลอดภัยหนึ่งตัว ที่นักลงทุนระยะยาวชอบใช้เป็นหลุมหลบภัย ไม่ว่าจะด้วยสภาพคล่องที่มีเงินสดอยู่ในมือพร้อมใช้มากมาย บัญชีงบประมาณที่ดี สร้างผลิตภัณฑ์ชิ้นไหนออกมา คนก็พร้อมลงทุนเป็นเจ้าของ
นั่นจึงทำให้นักวิเคราะห์บางกลุ่มมองว่าขาลงครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ภายในบริษัทแอปเปิลกำลังย่ำแย่ เพียงแต่ราคาหุ้นไหลไปตามปัจจัยทางเศรษฐกิจก็เท่านั้น เพราะถ้าหากลองเทียบขาลงของหุ้นแอปเปิลตอนนี้กับบริษัทเทคฯ อื่นๆ จะพบว่าหุ้นแอปเปิลยังปรับตัวลดลงน้อยกว่าบริษัทอื่นอยู่พอสมควร ณ ตอนนี้ ดัชนี NASDAQ 100 ได้ปรับตัวลดลงมาแล้วมากว่า 27% ในขณะที่หุ้นของบริษัทไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 24%
แอปเปิลยังทำกำไรในแต่ละไตรมาสได้อย่างต่อเนื่อง
เหตุผลสำคัญที่ยังทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในหุ้นแอปเปิลคือความสามารถในการทำกำไร ในช่วงก่อนโควิด บริษัทแอปเปิลเคยทำกำไรเติบโตได้ 38% แต่ในช่วงที่มีโรคระบาดและภาวะเงินเฟ้อกดดัน บริษัทแอปเปิลกลับสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 43% จากความต้องการเทคโนโลยีรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ iPhone สามารถรองรับเทคโนโลยี 5G ได้แล้ว
ในรายงานผลประกอบการของไตรมาสล่าสุด ที่นับถึงวันที่ 31 มีนาคม แอปเปิลรายงานว่าสามารถทำกำไรได้ทั้งหมด $97,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไตรมาสก่อนหน้านั้น หรือในช่วงคริสต์มาส แอปเปิลสามารถทำกำไรได้มากถึง $124,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อนึ่ง ตัวเลข $97,300 ล้านเหรียญสหรัฐคือช่วงเวลาที่ไม่มีวันหยุดยาวหรือเทศกาลสำคัญใดๆ ในฝั่งตะวันตกด้วย
อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าแอปเปิลเป็นบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง เงินสดที่มีอยู่ในมือของแอปเปิลท่ามกลางช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้คือหลักประกันที่รับรองได้ว่าบริษัทแห่งนี้จะไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงใดๆ แน่นอน ปัจจุบันแอปเปิลมีสภาพคล่องมากถึง $200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้พวกเขามีเงินทุนไหลเวียนเพียงพอให้รอต่อช่วงเวลาขาลงเช่นนี้ไปได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้หุ้นแอปเปืลเป็นตัวเลือกที่น่าลงทุนคือแผนการซื้อหุ้นคืน ด้วยแผนนี้ทำให้เจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (NYSE:BRKa) วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนในตำนาน และผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนหนึ่งของบริษัทแอปเปิลถือครองหุ้นแอปเปิลทั้งหมดคิดเป็นเงิน $159,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทของวอร์เรนเริ่มซื้อหุ้นแอปเปิลคืนมาตั้งแต่ปี 2016 เขาได้บอกกับสำนักข่าว CNBC ในเดือนนี้ว่าได้ซื้อหุ้นแอปเปิลเพิ่มอีก $600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงที่หุ้นแอปเปิลร่วงลงสามวันติดต่อกันในไตรมาสที่แล้ว ปัจจุบันแอปเปิลยังคงถือครองหุ้นของบริษัททั้งหมดในสัดส่วนที่มากที่สุด คิดเป็นมูลค่า $159,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพราะว่ายังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ดีในระยะยาว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่โพลผลสำรวจของนักวิเคราะห์ 45 คนจาก Investing.com ยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้นแอปเปิล พวกเขาเชื่อว่าภายในกรอบระยะเวลา 12 เดือน ยังมีโอกาสที่หุ้นแอปเปิลจะปรับตัวขึ้นได้ 33%
อ้างอิง: Investing.com
โดยสรุปแล้ว
เป็นเรื่องยากที่จะสามารถพูดได้ว่ามรสุมขาลงนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แต่สำหรับบริษัทแอปเปิลที่มีพื้นฐานทางธุรกิจดีเยี่ยม และมีสภาพคล่องทางการเงินสูง จึงทำให้การปรับตัวลดลงทุกครั้งกลายเป็นโอกาสดีที่ควรลงทุนในระยะยาว ตราบใดที่ iPhone ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนอันดับหนึ่งของโลก ตราบนั้นการลงทุนกับหุ้นแอปเปิลไม่ว่าจะภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหนก็ยังถือว่าคุ้มค่า