เมื่อสองสัปดาห์ก่อน CEO ของบริษัทอินเทล (NASDAQ:INTC) แพท เกลซิงเกอร์ได้ออกมาคาดการณ์ว่าปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลนจะคงอยู่กับวงการคอมพิวเตอร์ไปจนถึงปี 2024 สาเหตุที่เขาคิดเช่นนั้นเป็นเพราะเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการผลิตในตอนนี้มีไม่เพียงพอ คำพูดของแพทดูจะสวนทางกับภาพการเติบโตทางเทคโนโลยีในปี 2021 เป็นอย่างมาก และก็เป็นปีที่หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นอีกด้วย
ด้วยขั้นตอนการผลิตที่มีความซับซ้อน จึงทำให้อันที่จริงแล้วอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนั้นต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการผลิตมาโดยตลอด ต้นทุนในการผลิตชิปฯ ที่สูงมากเกินไปจึงทำให้บริษัทสามารถผลิตได้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ขายดี หรือจำเป็นต้องขายเพื่อรักษาระดับผลกำไรเอาไว้เท่านั้น แต่การล็อกดาวน์เพราะโควิด-19 ได้ยิ่งซ้ำเติมปัญหานี้ ทำให้บริษัทผู้ผลิตต้องหยุดผลิตในสิ่งที่จำเป็นต้องผลิต
ในช่วงที่การระบาดพึ่งเริ่มต้นขึ้นใหม่ๆ บริษัทผู้ผลิตคิดว่าอาจจะสามารถลดระดับการผลิตลงได้เนื่องจากความต้องการต่ำ แต่เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ความต้องการกลับดีดกลับมาราวกับช่วงก่อนเกิดโควิดไม่มีผิดเพี้ยน นั่นจึงทำให้การผลิตที่ถูกลดลงไป ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามความต้องการ ส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิปประมวลผลในรถยนต์และคอมพิวเตอร์
สำหรับขาลงในตลาดหุ้นที่เกิดขึ้นเพราะแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2022 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ แน่นอนว่าหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดกับหุ้นเทคฯ ครั้งนี้ได้ ดัชนีPhiladelphia Semiconductor Index ที่เป็นมาตรวัดหลักของวงการเทคโนโลยีได้ปรับตัวลดลงมา 31% จากจุดสูงสุดตลอดกาลในวันที่ 3 มกราคม ในขณะเดียวกันดัชนีแนสแด็ก 100ก็ได้ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลในวันที่ 22 พฤศจิกายนทั้งหมด 28.6%
ท่ามกลางช่วงเวลานี้ หุ้นเอ็นวีเดีย (NASDAQ:NVDA) กลับสร้างขาลงมากกว่าใครเพื่อน จากจุดสูงสุดตลอดกาลในวันที่ 22 พฤศจิกายน ตอนนี้หุ้นเอ็นวีเดียร่วงลงมาแล้วทั้งหมด 52.2% หุ้นของเอ็นวีเดียเริ่มปรับตัวลดลงนับตั้งแต่ถูกลดระดับความน่าลงทุนจาก Baird เพราะอุปสงค์ชะลอตัวจากการคว่ำบาตรประเทศรัสเซีย นอกจากนี้หุ้นเอ็นวีเดียยังได้รับแรงกดดันจากปัญหาทางด้านกฎหมาย และต้องรับแรงกดดันทางการเมือง เมื่อนโยบายของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างต้องการให้ผู้ผลิตเร่งผลิตสินค้าให้ได้ ในช่วงที่ทรัพยากรสำหรับผลิตชิปประมวลผลยังขาดแคลน
ด้วยปัจจัยกดดันเหล่านี้ จึงทำให้เราเชื่อว่าหุ้นเอ็นวีเดียกำลังอยู่บนเส้นทางมุ่งหน้าลงสู่ระดับราคา $92
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟหุ้นเอ็นวีเดียรายวัน จะเห็นว่าราคาได้สร้างรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่สาเหตุที่บริเวณไหล่ขวาสูงผิดปกตินั้นเป็นผลมาจากวิกฤตที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ขาขึ้นพยายามต่อต้านด้วยการสร้างเทรนด์ไปต่อ ก่อนจะปรับตัวร่วงลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่เมื่อวานนี้ คิดเป็นการปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดในวันที่ 20 พฤศจิกายน 22% ณ จุดนี้ต้องยอมรับว่า Peak & Trough ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้น (Peak ตรงไหล่ขวา) ถือว่าเกิดได้อย่างพอดิบพอดีกับกรอบราคาขาลง ที่ลากมาตั้งแต่ก่อนเข้าปี 2022
ในขณะที่ราคาหุ้นกำลังร่วงลง เส้นค่าเฉลี่ยหลักๆ ก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันสามารถตัดเส้น 200 วันลงมาได้ และล่าสุดเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันก็พึ่งตัดกับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันเมื่อวานนี้ การที่เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นสามารถตัดเส้นระยะยาวลงมาได้ ถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนเทรนด์อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นถึงการอ่อนแรงของราคา หลังจากนั้น ราคาหุ้นเอ็นวีเดียก็ได้ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อขยายมุมมองไปมองภาพที่กว้างขึ้นอย่างกราฟรายสัปดาห์ จะพบว่าขาลงระลอกนี้ได้หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 100 สัปดาห์ลงไปแล้ว และเกิดเป็นช่องว่างระหว่างราคาเกิดขึ้นอีกด้วย ครั้งหนึ่งตอนที่หุ้นเอ็นวีเดียหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 50 สัปดาห์ลงมา ก็เกิดช่องว่างระหว่างราคาในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าราคาจะกลับขึ้นไปทดสอบกรอบสามเหลี่ยมรูปธง หลังจากนั้นค่อยวางคำสั่งขายตามลงมา
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอราคาดีดตัวกลับขึ้นมา เพื่อหาจุดวางคำสั่งขายที่ดีกว่านี้
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะสวนเทรนด์ด้วยการเข้าซื้อ เก็บกินการดีดตัวกลับขึ้นไปในระยะสั้นๆ โดยจะตั้งราคาเป้าหมายเอาไว้ที่กรอบสามเหลี่ยมเท่านั้น จากนั้นก็จะวางคำสั่งขายตามเทรนด์ใหญ่ต่อไป
ตัวอย่างการเทรด (ขาขึ้น)
- จุดเข้า: $160
- Stop-Loss: $155
- ความเสี่ยง: 5
- เป้าหมายในการทำกำไร:$185
- ผลตอบแทน: $25
ตัวอย่างการเทรด (ขาลง)
- จุดเข้า: $185
- Stop-Loss: $180
- ความเสี่ยง: $5
- เป้าหมายในการทำกำไร:$95
- ผลตอบแทน: $90
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:18