หุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินชื่อดังหลายแห่งกลับมาเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีทอีกครั้ง เพราะความเป็นไปได้ที่จะทำกำไรได้มากขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ กระแสดังกล่าวจึงทำให้กองทุน ETF ที่มีความเกี่ยวข้องกับธนาคารหรือองค์กรด้านการเงินได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ธนาคารชื่อดัง JPMorgan Chase (NYSE:JPM) เริ่มต้นไตรมาสที่ 1 ปี 2022 ด้วยสถานการณ์ที่ไม่สวยหรูเท่าไหร่นัก เมื่อตัวเลขกำไรที่ $8,280 ล้านเหรียญสหรัฐน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วถึง 42% สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับธนาคารอีกสองแห่งอย่าง Charles Schwab (NYSE:SCHW) และ Sierra Bancorp (NASDAQ:BSRR)
ในช่วงเวลาเดียวกัน ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของธนาคาร Bank of America (NYSE:BAC) กลับสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ หุ้นของธนาคารปรับตัวขึ้นมากกว่า 4% ในขณะที่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ก็ออกมาอยู่ที่ 80 เซ็นต์ นอกจาก BofA แล้ว ธนาคารอื่นๆ ที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ได้ประกอบไปด้วย ธนาคาร Citigroup (NYSE:C), Goldman Sachs (NYSE:GS), Morgan Stanley (NYSE:MS), State Street (NYSE:STT) และ Bank of New York Mellon (NYSE:BK)
หุ้นกลุ่มธนาคารยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่วิ่งอยู่ใกล้กับระดับ 3% นับเป็นจุดสูงสุดในรอบหลายปี สาเหตุเป็นเพราะพวกเขาได้ประโยชน์จากส่วนต่างระหว่างเงินฝากและเงินกู้ ที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราผลตอบแทนฯ ที่สูงขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่ารายงานผลประกอบการของยางธนาคารจะไม่สวย แต่กองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทนี้ก็ยังจะได้รับความสนใจอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ เราเคยแนะนำกองทุน iShares U.S. Financial Services ETF (NYSE:IYG) ที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวลดลง 8.7% ไปแล้ว ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำกองทุน ETF ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคารเพิ่ม อย่างไรก็ตาม เราต้องเตือนนักลงทุนเอาไว้ก่อนว่า การลงทุนกับกองทุนประเภทนี้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เสมอขึ้นอยู่กับ Yield Curve ดังนั้นจึงควรพิจารณาสถานการณ์โดยรอบอย่างเหมาะสม ก่อนตัดสินใจลงทุน
1. SPDR S&P Bank ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $51.07
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $46.86 - $60.60
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 2.43%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.35% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราเอามานำเสนอมีชื่อว่า SPDR® S&P® Bank ETF (NYSE:KBE) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงินเป็นหลัก ไม่มีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดในการเลือกหุ้นมากนัก กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2005
ปัจจุบัน KBE ถือครองหุ้นอยู่แล้วทั้งหมด 100 ตัว อ้างอิงราคาตามดัชนี S&P Banks Select Industry Index หากพิจารณาแยกการถือครองออกเป็นสัดส่วน จะพบว่า KBE ถือครองหุ้นของธนาคารระดับภูมิภาคมากที่สุด 77.72% ตามมาด้วยกลุ่มเงินออมและสินเชื่อจำนอง 13.38% และกลุ่มธนาคารที่เน้นการกระจายความเสี่ยง 6.09%
หุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนนี้ถือครองคิดเป็นสัดส่วน 13% จากสินทรัพย์ทั้งหมด $2,670 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนเหล่านี้ถือครองได้แก่ Jackson Financial (NYSE:JXN), Voya Financial (NYSE:VOYA), Northern Trust (NASDAQ:NTRS), AXA Equitable Holdings (NYSE:EQH) และ Essent Group (NYSE:ESNT)
ราคากองทุน KBE แม้ว่าจะพึ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อต้นเดือนมกราคม แต่ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ราคากองทุนได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 6.4% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 10.28x และ 1.17x ตามลำดับ นักลงทุนที่เชื่อว่าอีกไม่นานปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มการเงินจะหายไป สามารถเข้าซื้อกองทุนตัวนี้ได้
2. First Trust Financials AlphaDEX Fund
- ระดับราคาปัจจุบัน: $45.39
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $41.13 - $48.99
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.98%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.61% ต่อปี
กองทุนตัวถัดมาที่เราอยากจะแนะนำมีชื่อว่า JFirst Trust Financials AlphaDEX® Fund (NYSE:FXO) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงินที่มีอัตราการเติบโต และมีมูลค่าสูงและโดดเด่นกว่าหุ้นตัวอื่นๆ กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2007 มีสินทรัพย์รวมทั้งหมด $1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน FXO ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 100 ตัว อ้างอิงราคาตามดัชนี StrataQuant® Financials Index หากพิจารณาแบ่งการถือครองออกเป็นสัดส่วนจะพบว่า FXO ถือครองหุ้นของธนาคารเพื่อการลงทุน และโบรกเกอร์ตลาดหุ้นมากถึงสามในสิบส่วนของกองทุน นอกจากนั้นก็จะมีหุ้นของบริษัทประกันสินทรัพย์ 29.33% ธนาคาร 21.80% และผู้ให้บริการด้านเครดิตสินเชื่อและการเงิน 7.23%
หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ LPL Financial (NASDAQ:LPLA), Cincinnati Financial (NASDAQ:CINF); Raymond James Financial (NYSE:RJF)และ Alleghany (NYSE:Y)
ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคากองทุน ETF ตัวนี้ปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 1.9% แต่ถ้าพิจารณาผลงานในระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด จะพบว่ายังคงเป็นขาขึ้น 4.8% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 8.42x และ 1.33x ตามลำดับ