สำหรับตอนนี้ดูเหมือนว่าคู่สกุลเงินยูโรเทียบดอลลาร์หรือ EUR/USD จะได้พักหายใจหายคอกันบ้างหลังจากร่วงลงมามากถึง 3.5% คิดเป็นการปรับตัวลดลง 11 เท่าภายในระยะเวลา 14 วัน สองปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดขาลงในครั้งนี้คือความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของยูโรโซนและสหรัฐอเมริกา กับสงครามระหว่างรัสเซียยูเครน
ขาลงในลักษณะนี้ไม่ใช่ว่าพึ่งจะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เคยเกิดมาแล้วในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมปี 2014 ถึงเดือนมีนาคมปี 2015 ทำสถิติขาลง 9 เดือนติดต่อกัน ในช่วงเวลานั้นกราฟ EURUSD ร่วงลงมากถึงเกือบ 22% จากประเด็นเดียวกันเลยคือการบุกยึดแหลมไครเมียของยูเครน และในตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีนโยบายทางการเงินที่แข็งกร้าวมากกว่าธนาคารกลางยุโรป ทำให้สกุลเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าที่มากกว่า
เมื่อนำกราฟในช่วงเวลานั้น กับตอนนี้มาเปรียบเทียบกันทางเทคนิคแล้ว เราพบสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการปรับตัวลดลงต่อของกราฟ EUR/USD
จากรูปด้านบน จะเห็นว่ากราฟ EURUSD ได้เจาะเส้น neckline ของรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ที่ลากมาตั้งแต่ปี 2015 ได้แล้ว หากว่ากราฟสามารถเปลี่ยนแนวรับให้กลายเป็นแนวต้านได้ นั่นจะยิ่งไปการส่งสัญญาณว่ามีโอกาสวิ่งลงไปถึง 0.9000 เพื่อให้เห็นภาพชัดกว่านั้น เราได้ขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น
เมื่อพิจารณาจากไทม์เฟรมนี้ เราจะเห็นว่ารูปแบบหัวไหล่ของปี 2015 นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพักฐานเพื่อลงต่อของแนวโน้มขาลงระยะยาว และยังเป็นเพียงการพักตัวเพื่อขึ้นไปทดสอบส่วนบนของกรอบราคาขาลงเท่านั้น ซึ่งกรอบขาลงนี้คงอยู่มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2004 มาจนถึงเดือนมกราคม 2015 บริเวณไหล่ขวาของรูปแบบหัวไหล่ ก็เกิดขึ้นเพราะการขึ้นไปชนกรอบราคาด้านบนเท่านั้นเอง
รูปแบบการเคลื่อนตัวของเส้นค่าเฉลี่ยก็ถือว่ามีความสอดคล้องกับขาลงเช่นกัน เส้นค่าเฉลี่ย 50 เดือนปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 เดือนมาตั้งแต่ปลายปี 2016 ก่อให้เกิดสัญญาณการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยครั้งแรกมาตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งหลังจากนั้นกรา่ฟ EURUSD ก็ได้ปรับตัวลดลงอีก 26% ณ ตอนนี้เราอยู่ต่ำกว่าบริเวณที่เกิดการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยนั้น 12% การตัดกันนั้นเกิดขึ้นทั้งๆ ที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 เดือนยังหันหัวขึ้น แต่หลังจากที่ถึงจุดสูงสุดในปี 2019 เส้นค่าเฉลี่ย 200 เดือนนี้ก็ได้ปรับตัวลดลงมา
สำหรับเส้นค่าเฉลี่ย 100 เดือนนั้นได้ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 200 เดือนมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2018 และสุดท้ายเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น 50 เดือนก็สามารถตัดเส้น 100 เดือนลงมาได้ ยิ่งเป็นการส่งสัญญาณยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาลง เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เส้นค่าเฉลี่ย 50 สัปดาห์ สามารถตัดเส้นค่าเฉลี่ย 100 สัปดาห์ได้ ครั้งสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นต้องย้อนกลับไปในปี 2019 ที่กราฟ EURUSD ร่วงลงอีก 6%
ก่อนจากกัน เราขอทิ้งท้ายด้วยภาพรวมของกราฟ EURUSD ในมุมมองที่กว้างที่สุด ซึ่งต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 1985 ซึ่งเป็นปีที่ไกลกว่าตอนที่สกุลเงินยูโรเกิดเสียอีก (สกุลเงินยูโรเกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคมปี 1999) ในภาพรวมนี้จะเห็นว่าที่จริงแล้วกราฟ EUR/USD ยังคงวิ่งอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และรูปแบบหัวไหล่ในตอนนี้นั้นคือความพยายามที่จะปรับตัวกลับขึ้นไป แต่ถ้าถามว่าความเป็นไปได้ที่จะเจอจุดต่ำสุดในตอนนี้อยู่ที่ไหน จากรูปจะเห็นว่าที่ใกล้ที่สุดคือจุดต่ำสุดของปี 1985 หรือที่ระดับราคา 0.97 หรืออย่างไกลที่สุด คืออาจจะสามารถลงไปถึงจุดต่ำสุดของปี 2000 หรือที่ 0.8
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าราคาจะวิ่งลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคมปี 2020 โดยมีเงื่อนไขว่าต้องไม่วิ่งกลับขึ้นมายืนเหนือเส้น neckline นี้เป็นเวลาอย่างน้อยสามเดือน จากนั้นจะรอให้ราคาวิ่งกลับขึ้นมาทดสอบแนวรับที่พึ่งจะกลายเป็นแนวต้าน แล้วจึงจะวางคำสั่งขาย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอให้ราคาหลุดจุดต่ำสุดของปี 2020 โดยราคาจะต้องไม่กลับขึ้นมาวิ่งสูงกว่าเส้น neckline เป็นเวลาหนึ่งถึงสองเดือน จากนั้นรอราคาวิ่งกลับขึ้นมาทดสอบแนวรับที่พึ่งจะกลายเป็นแนวต้าน แต่ไม่รอแท่งเทียนยืนยันขาลง แต่จะวางคำสั่งขายทันที
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งขายตอนนี้ทันที ตราบใดที่อัตราความเสี่ยงต่อผลกำไรยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ตัวอย่างการเทรด (ขาลง)
- จุดเข้า: 1.1000
- Stop-Loss: 1.1025
- ความเสี่ยง: 25 จุด
- เป้าหมายในการทำกำไร:1.0700
- ผลตอบแทน: 300 จุด
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:12