Investment Ideas:
ภาพรวมการลงทุน - เราคาดว่า SET สัปดาห์นี้ (18 ถึง 22 เม.ย.) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,645-1,695 จุด (แนวรับ 1,660-1,645 จุด แนวต้าน 1,685-1,695 จุด) โดยตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมามีการซื้อ ขายเพียง 2 วันทําการ โดย SET ปิดที่ระดับ 1,674.34 จุด ลดลง 11.66 จุด (-0.69%Wow) ด้วยมูลค่า การซื้อขายเฉลี่ย 61,805.73 ล้านบาทต่อวัน ลดลง 18.23%WoW ประเด็นที่น่าติดตามอยู่ที่ (1) สถานการณ์โควิด-19 (2) สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน (3) สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ที่กลับมามีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเกิน 100 รายต่อวัน ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา และ (4) รายงานผลประกอบการ 1Q65 โดยจะเริ่มจากกลุ่มธนาคาร ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555-2564) สถิติ SET หลังเทศกาลสงกรานต์ 1 สัปดาห์ SET ปรับเพิ่มขึ้น 8 ครั้ง ในรอบ 10 ปี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่าน มา มีค่าเฉลี่ย SET ปรับเพิ่มขึ้น 1.2% กลยุทธ์การลงทุน เรายังให้น้ําหนักหุ้นในกลุ่ม Domestic play เลือก HMPRO CPALL (BK:CPALL) และ MAKRO เป็นหุ้นเด่น รวมไปถึง หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของอัตรา ดอกเบีย เราเลือก BLA รวมไปถึง MEGA ขณะที่หุ้นในกลุ่ม commodity play เราแนะนําเพียงเก็งกําไร หลังสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน กลับมามีน้ําหนักมากขึ้นโดยเฉพาะประเด็นการคว่า บาตรรัสเซีย จากสหรัฐฯ และชาติตะวันตก แนะเก็งกําไร PTTEP BCP และ SPRC ระยะสั้น เราแนะนํา ขายทํากําไรหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่เราแนะนําอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา หลังราคาหุ้น ปรับเพิ่มขึ้นมากในรอบ 1 เดือน รวมไปถึงจํานวนผู้เสียชีวิตจากโควิดในประเทศที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัย กดดันระยะสั้น จํานวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเพิ่ม กระทบแผนเปิดประเทศ เรามองเป็นลบระยะสั้นต่อหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการ ท่องเที่ยว - สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศยังคงต้องติดตาม หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา (11 ถึง 17 เม.ย.) มี จํานวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยต่อวัน 114 ราย เพิ่มขึ้น 20% WoW เพิ่มความกังวลต่อแผนการเปิดประเทศของ ภาครัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐฯ เตรียมเสนอนโยบายปลดล็อก เงื่อนไขการเข้าประเทศทั้งหมด (เหมือนกับก่อน วิกฤตโควิด-19 ช่วงก่อนปี 63) ด้วยการเสนอ ศบค. เพื่อยกเลิกการลงทะเบียนในระบบ Thailand Pass รวมถึงการเข้าประเทศในรูปแบบอื่น ที่เป็นมาตรการการเดินทางเข้าประเทศ ได้แก่ Test & Go และพื้นที่ใน โครงการ Sandbox ตั้งแต่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป เรามองเป็น Sentiment เชิงลบระยะสั้นต่อหุ้นในกลุ่มที่ เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นในรอบเดือนอย่างมีนัยสําคัญ ทําให้ต้องระวังแรงขายทํา กําไรระยะสั้น หลังราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการบิน และกลุ่มธุรกิจโรงแรม ปรับเพิ่มกว่า 14% และ 11% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้นแนะนําของเราอย่าง AOT (BK:AOT) (+7.5%) BAFS (+13.96) AAV (+13.3%) ERW (+16.3%) SHR (+13.2%) และ VRANDA (+5.99%) ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา
เงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มมากกว่าคาด เพิ่มน้ําหนักเฟดปรับเพิ่มดอกเบียในอัตราเร่ง เลือก BLA เป็นหุ้นเด่น - กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 1.2% MoM และเพิ่มขึ้น 8.5%YoY เป็นระดับสูงสุด เมื่อเทียบ YoY นับตั้งแต่ เดือน ธ.ค. 2524 และสูงกว่าที่ Market Consensus ประเมินไว้ที่ระดับ 8.4% ด้านดัชนี CPI พื้นฐาน (ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน) เดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 0.36MoM และเพิ่มขึ้น 6.5%YoY โดยตัวเลข CPI เป็นหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มความกังวลต่อการที่เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราเร่ง ซึ่งเราคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม เดือน พ.ค. และ มิ.ย. ขณะที่ Market Consensus ประเมิน ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2.50% ถึง 2.75% ในช่วงสิ้นปี 2565 เลือก BLA เป็นหุ้น เด่น เราแนะนําเพียงเก็งกําไร commodity play หลังสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน กลับมามี น้ําหนักมากขึ้น - สัญญาน้ํามันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. ล่าสุด ปรับเพิ่มกว่า 2.6% ทําให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ํามันดิบปรับเพิ่มขึ้นกว่า 8.8% ทิศทางของราคาน้ํามันดิบ ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนทั้งจาก fundamental และ Geopolitics โดยสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ยังคงเป็นปัจจัย หนุนราคาน้ํามันดิบ เนื่องจากล่าสุด EU กําลังร่างมาตรการที่จะห้ามการนําเข้าผลิตภัณฑ์น้ํามันจากรัสเซีย โดยประเทศสมาชิก EU จะเจรจาเกี่ยวกับการคว่ําบาตรน้ํามัน โดยคาดว่าการคว่ําบาตรจะเกิดขึ้นหลังการ เลือกตั้งฝรั่งเศสรอบสุดท้าย ในวันที่ 24 เม.ย. แม้ที่ผ่านมา EU ได้กําหนดมาตรการคว่ําบาตรรัสเซียหลายรอบ แต่ยังไม่มีการคว่ําบาตรที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากประเทศสมาชิก EU บางรายต้องพึ่งพาน้ํามันอย่างมากจาก รัสเซีย อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจะเริ่มเห็นตัวเลขการผลิต และการส่งออกปิโตรเลียมจากรัสเซียที่ลดลงในช่วง 2Q65 ซึ่งคาดว่าจะกระทบอุปทานน้ํามันเฉลี่ย 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปัจจัยดังกล่าวมีน้ําหนักมากกว่ารายงาน รายเดือนจากกลุ่ม OPEC+ และ IEA ที่ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ Demand น้ํามันดิบทั่วโลกลง รวมไปถึงความร่วมมือของสหรัฐฯ และชาติสมาชิก IEA ในการปล่อยน้ํามัน SPR ซึ่งจะทําให้ราคาน้ํามันดิบ กลับมายืนในระดับสูง แนะเก็งกําไร PTTEP BCP และ SPRC ระยะสั้น
มุมมองทางเทคนิค - เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,660-1,685 จุด / หุ้นแนะนําปัจจัยทาง เทคนิค เราเลือก BEM GLOBAL และ PSL
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities