🥇 กฎข้อแรกของการลงทุนหรือ? รู้ว่าเมื่อใดควรประหยัด! รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ก่อนโปรโมชั่น BLACK FRIDAY จะหมดเขตรับส่วนลด

น้ำมันกลายเป็นตัวประกันสำหรับข้อเสนอหยุดยิงของเยเมน

เผยแพร่ 30/03/2565 14:06
LCO
-

หลังจากการระเบิดของคลังน้ำมันในช่วงสุดสัปดาห์ที่เจดดาห์ เยเมนฮูซี ที่มีอิหร่านหนุนหลัง เสนอการหยุดยิงหากซาอุดีอาระเบียยอมรับข้อเสนอของพวกเขา แต่ถ้าดูจากประวัติศาสตร์แล้ว การสู้รบน่าจะเกิดขึ้นต่อได้ทันทีหลังจากเส้นตาย 72 ชั่วโมงที่ฮูซีขีดไว้สิ้นสุดลงในวันพุธ มีเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่าซาอุดีอาระเบียไม่น่าจะยอมรับเงื่อนไขของกลุ่มกบฎ ถือเป็นสถานการณ์ปกติ ภายใต้สงครามที่ยาวนานเจ็ดปี ซึ่งถูกมองว่าสิ่งนี้เป็นมากกว่าสงครามตัวแทนระหว่างซาอุดิอาระเบียกับคู่ปรับของอิหร่าน Oil Daily

จนถึงตอนนี้ ความขัดแย้งได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วหลายหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และทำให้หลายล้านคนอดอยาก ความรุนแรงเลวร้ายลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และการโจมตีคลังพลังงานของกลุ่มฮูซีที่กระทำต่อซาอุดีอาระเบียก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น ครึ่งหนึ่งในเดือนกันยายน 2019 โรงงานแปรรูปน้ำมัน Abqaiq และ Khurais เคยถูกโจมตี ซึ่งทำให้กำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียลดลงครึ่งหนึ่ง

ในการโจมตีแต่ละครั้ง ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นระหว่าง 1% ถึง 3% อยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่จะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงงานที่เป็นเป้าหมายนั้นใช้เวลานานกว่าจะกู้คืนกลับมาได้ ส่งผลกระทบต่อซัพพลายน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ

ไทม์ไลน์ของสงครามเยเมนแสดงให้เห็นว่ามีการหยุดยิงหกครั้ง ก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรอาหรับที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ โมร็อกโก จอร์แดน บาห์เรน ซูดาน และคูเวต ได้เริ่มต้นปฏิบัติการดีซิซีฟสตอร์ม ที่สหรัฐฯ ให้การช่วยเหลือมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2015 เพื่อสนับสนุนอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ ประธานาธิบดีเยเมนที่ถูกขับออกไป

ประวัติศาสตร์สันติภาพของเยเมนไม่เป็นที่น่าจดจำ

การหยุดยิงครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2015 เมื่อซาอุดิอาระเบียและฮูตีตกลงที่จะ “หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม” เป็นเวลาห้าวัน เมื่อประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ ได้เรียกประชุมสภาความร่วมมืออ่าวหกรัฐ ที่แคมป์เดวิดเพื่อแก้ไขวิกฤตในเยเมน มีเพียงสองรัฐเท่านั้นที่ส่งผู้นำของพวกเขาไป

ระหว่างเดือนตุลาคม 2016 ถึงพฤษภาคม 2017 องค์การสหประชาชาติและกลุ่มอื่นๆ พยายามเป็นตัวแทนเจรจาสันติภาพ และการแก้ปัญหาทางการเมืองต่อความขัดแย้ง แต่ฝ่ายฮูซีและฝ่ายที่นำโดยซาอุดิอาระเบียยังคงต่อสู้กันต่อไป ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้ในขณะนั้น นอกจากนี้ กลุ่มฮูตียังอ้างความรับผิดชอบในการยิงขีปนาวุธเข้าสู่ซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งที่กรุงริยาด ซึ่งเป็นเมืองหลวง

ในเดือนธันวาคม 2018 หลังจากสงครามผ่านไปเกือบสี่ปี และหลังจากการเจรจาโดยยูเอ็นเป็นสื่อกลาง รัฐบาลเยเมนและกลุ่มฮูตีได้ลงนามในข้อตกลงสตอกโฮล์ม ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ การวางกำลังกองกำลังใหม่ร่วมกันซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือโฮไดดา เมืองที่มีความแย้งของ Taiz การหยุดยิงถูกกำหนดให้มีผลในวันที่ 18 ธันวาคมในปีนั้น แต่ข้อตกลงสตอกโฮล์มการบรรลุเป้าหมาย และทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะถอนตัวจากโฮไดดา

หลังจากนั้นก็มีสงครามเกิดขึ้นอีกสองครั้ง ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2020 และต่อมาในเดือนเมษายน-พฤษภาคมของปีนั้น เมื่อซาอุดิอาระเบียเริ่มวางอาวุธเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อจัดการกับการระบาดของ COVID-19 ในขณะที่เยเมนได้รับผลกระทบจากโควิดในเวลานั้น ฝ่ายฮูตีและกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยซาอุดิอาระเบียยังคงโจมตีกันไปมา โดยไม่สนใจการหยุดยิง

ในเดือนตุลาคมปี 2020 ได้มีการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งใหญ่ที่สุดในความขัดแย้ง ภายในเดือนพฤศจิกายน ซาอุดีอาระเบียและกลุ่มฮูตีได้เริ่มการเจรจาลับ โดยเจ้าหน้าที่ซาอุดิอาระเบียแสดงความเต็มใจที่จะลงนามในข้อตกลงหยุดยิง ยุติการปิดล้อมทางอากาศและทางทะเลของซาอุดิอาระเบียเพื่อแลกกับการสร้างเขตกันชนระหว่างดินแดนที่ Houthi ควบคุม ซึ่งอยู่ในเยเมนและพรมแดนของซาอุดิอาระเบีย ภายหลังกลุ่มฮูตีอ้างว่าได้ยิงขีปนาวุธใส่เมืองเจดดาห์ริมชายฝั่งของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งทำให้กระบวนการสันติภาพต้องหยุดชะงัก

ข้อตกลงของอเมริกาอาจถูกซาอุฯ ปฏิเสธ

กลุ่มฮูตีของเยเมน กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า พวกเขาจะระงับการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนในซาอุดีอาระเบียเป็นเวลาสามวัน พวกเขากล่าวว่าโครงการนี้อาจเป็นคำมั่นสัญญาสันติภาพที่ยั่งยืน หากกองกำลังพันธมิตรที่นำโดยซาอุดิอาระเบียในเยเมนหยุดการโจมตีทางอากาศและยกเลิกข้อจำกัดท่าเรือ

มาห์ดี อัล-มาชาต หัวหน้าสำนักงานการเมืองของกลุ่มฮูตี กล่าวว่า พวกเขาจะระงับการปฏิบัติการภาคพื้นดินในเยเมนเป็นเวลาสามวัน รวมถึงในพื้นที่ผลิตก๊าซของเมืองมาริบ “นี่เป็นคำเชิญที่จริงใจและเป็นขั้นตอนที่เชื่อถือได้ เพื่อสร้างความไว้วางใจอีกครั้ง และนำทุกฝ่ายตั้งเวทีการเจรจาไปจนถึงเวทีที่จะพิสูจน์ด้วยการกระทำ” มาชาด กล่าว

การยกเลิกข้อจำกัดที่กำหนดโดยกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ท่าเรือทะเลแดงของเยเมน ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของ Houthi หากว่าต้องการให้พวกเขาหยุดยิง ซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าไม่มีการปิดล้อมท่าเรือ และเป็นเพียงการป้องกันการลักลอบขนอาวุธ เงื่อนไขที่ประกาศออกมาในวันเสาร์จะดำเนินต่อไปหากพันธมิตรเปิดท่าเรืออีกครั้ง และหยุดการโจมตีทางอากาศ มาชัตกล่าว พร้อมเสริมว่ากลุ่มฮูตีจะขยายเวลาการระงับการปฏิบัติการภาคพื้นดิน หากซาอุดีอาระเบียประกาศถอนทหารต่างชาติออกจากเยเมน และหยุดสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธในท้องถิ่น

ในมุมมองของนักวิเคราะห์ เงื่อนไขนี้ไม่น่าเป็นไปได้ที่ซาอุดิอาระเบียจะเห็นด้วยกับเงื่อนไขดังกล่าว เนื่องจากริยาดพยายามหยุดยิงไปพร้อมๆ กับการเปิดท่าเรือและสนามบินซานาอีกครั้ง ข้อเสนอหยุดยิงล่าสุด "ทำให้บางคนคาดเดาว่าชาวอิหร่าน (กำลัง) ทำเช่นนี้เพื่อให้ทางข้างหน้าราบรื่นสำหรับการเจรจานิวเคลียร์" Phil Flynn นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจาก Price Futures Group ของชิคาโกกล่าวเมื่อวันจันทร์

ทันทีหลังจากการโจมตีคลังน้ำมันเจดดาห์ในช่วงสุดสัปดาห์ ซาอุดีอาระเบียเตือนว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก เนื่องจากมีการโจมตีโรงงานผลิตพลังงานอย่างต่อเนื่อง ซาอุดิอาระเบียยังกล่าวอีกว่า ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องตระหนักถึงบทบาทของอิหร่านในการสนับสนุนกบฏฮูตีเยเมน ที่กำหนดเป้าหมายไปยังแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซ

การที่ซาอุดิอาระเบียไม่พอใจต่ออิหร่าน ที่มีแนวโน้มว่าจะโจมตีแหล่งพลังงานของตน ทำให้เกิดแรงกดดันมากขึ้นต่อสหรัฐอเมริกาในการสั่งสอนเตหะราน แม้ว่าพวกเขาจะพยายามเพื่อสรุปข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 กับสาธารณรัฐอิสลาม ซาอุดิอาระเบียไม่ต้องการข้อตกลงนิวเคลียร์ซึ่งเดิมลงนามในปี 2015 ภายใต้การบริหารของโอบามา ซึ่งจะได้รับการฟื้นฟูโดยฝ่ายบริหารของไบเดน ความกังวลของซาอุดิอาระเบียคืออิหร่านถ้าปลอดจากการคว่ำบาตรน้ำมันของสหรัฐฯ แล้ว พวกเขาจะใช้เงินที่ได้รับจากการขายน้ำมันในการโจมตีต่อซาอุดิอาระเบียหรือไม่

การเจรจาระหว่างมหาอำนาจโลกและอิหร่านได้ดำเนินมาเป็นเวลา 11 เดือนแล้ว โดยที่ยังไม่ทราบว่าผลการเจรจาจะออกมาในทิศทางไหน

ทำไมน้ำมันจึงจะยังตกเป็นเป้าหมายต่อไป?

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าความต้องการของกลุ่มฮูติคือต้องการให้ความสนใจของผู้เจรจากลับไปสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ นี่คือสิ่งที่อิหร่านต้องการจริงๆ จอห์น คิลดัฟฟ์ หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งที่ กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านพลังงานของนิวยอร์ก Again Capital วิเคราะห์ว่า

“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่น้ำมันมักจะถูกโจมตีในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด เช่นตอนนี้ เมื่อซัพพลายขาดตลาด ในสถานการณ์ที่โลกกำลังกังวลเรื่องตลาดน้ำมันจนถึงขีดสุด แล้วชื่อของพวกเขาจะไม่เป็นที่พูดถึงในเวทีโลกได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นกบฏโบโกฮารามที่เคยข่มขู่ไนจีเรีย หรือกลุ่มฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ตอนนี้ต่างก็กำลังต่อสู้กับซาอุดิอาระเบียหรือปูตินของรัสเซียเพื่อต่อต้านยุโรป และทุกคนก็มีน้ำมันและพลังงานติดอาวุธเป็นเป้าหมายในการบรรลุสิ่งที่พวกเขาต้องการ ดังนั้น นี่จะไม่ใช่การหยุดยิงครั้งสุดท้ายหรือการโจมตีน้ำมันครั้งสุดท้าย” คิลดัฟฟ์กล่าว


เดวิด คุกรองศาสตราจารย์ที่ Rice University ได้สรุปในวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับน้ำมันและการก่อการร้าย ซึ่งเขากล่าวว่าน้ำมันเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่มีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเงินในตลาดพลังงานโลก 

“เนื่องจากน้ำมันเป็นหนึ่งในทรัพยากรหลัก หากไม่ใช่ทรัพยากรหลักของประเทศมุสลิมที่มีอำนาจเหนือบางประเทศ จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงที่จะปฏิเสธรัฐบาลของตนเอง เพื่อสร้างความรู้สึกของวิกฤตในตลาดน้ำมันโลก นั่นคือวิธีเรียกร้องความสนใจจากผู้ก่อการร้ายสามารถสร้างได้ง่ายที่สุด ความขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติในตะวันออกกลางนอกเหนือจากน้ำมันและการพึ่งพารายได้จากไฮโดรคาร์บอนเพียงอย่างเดียว หมายความว่าประเทศมุสลิมที่อุดมด้วยน้ำมันจะไม่มีเสถียรภาพ หากมีการโจมตีอะไรก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมน้ำมัน” - เขากล่าว

“นอกจากนี้” เขากล่าวต่อ “สำหรับชาวมุสลิมหัวรุนแรง การที่บริษัทข้ามชาติจำนวนมากมีรายได้มหาศาลจากน้ำมันที่ส่งถึงบริษัทข้ามชาติที่ไม่ใช่มุสลิม ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจ และข้อเท็จจริงที่ว่าคนงานน้ำมันจำนวนมากไม่ใช่มุสลิม เหมือนเป็นความพยายามลดภาพลักษณ์การครอบครองน้ำมันของชาวมุสลิมในสังคมของพวกเขาออกไป นี่คือการรุกรานทางวัฒนธรรมรุกรานไปพร้อมๆ กันการส่งรายได้ไปยังที่อื่นซึ่งไม่ใช่บ้านตัวเอง ถือเป็นเหตุผลมากพอที่จะโจมตีได้”

“ในฐานะที่น้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจเกือบจะแทบทุกอย่าง น้ำมันจึงมีความเสี่ยง โดยธรรมชาติของตัวมันเองอยู่แล้ว ลองจินตนาการดูว่าถ้าวันนี้คุณไม่มีน้ำมัน จะมีอะไรบ้างที่คุณไม่สามารถทำได้ นั่นละคือความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าน้ำมัน” คุกกล่าวปิดท้าย

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย