ดูเหมือนว่านักลงทุนจะก้าวผ่านความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปได้แล้ว สังเกตได้จากความไม่สะทกสะท้านกับความเสี่ยงเศรษฐกิจซบเซา กระโดดเข้าหาหุ้นราคาถูกตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นจึงทำให้ดัชนีหลักทั้งสามของอเมริกาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน ดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% เอสแอนด์พี 500 ปิดบวก 1.8% และแนสแด็กปรับตัวขึ้นเกือบ 2%
ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมมาจนถึงปัจจุบัน S&P 500 ปรับตัวขึ้นมาทั้งหมดประมาณ 3.9% มากพอที่จะชดเชยขาลง ที่เกิดขึ้นตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน ในปลายเดือนกุมภาพันธ์มาจนถึงปัจจุบันได้หมด การดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นกำลังเร่งตัว แม้ว่าการรุกยูเครนจะยังไม่สิ้นสุด และมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% หากจำเป็น
แม้ต้องเผชิญความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงจากการขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนจะยังคงได้รับข้อมูลรายงานผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุด จากบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม เกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภค และผลกระทบห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ในบทความนี้ เราจะพาไปดูหุ้นสามตัวที่นักลงทุนควรให้ความสนใจในสัปดาห์นี้
1. Micron Technology
บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่นาม “ไมครอนเทคโนโลยี” (NASDAQ:MU) จะรายงานผลประกอบการแบบปีงบประมาณประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ในวันอังคารที่ 29 มีนาคม หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดทำการ นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทไมครอนเทคฯ จะสามารถทำกำไรได้ $7,530 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.98
ในรายงานผลประกอบการเดือนธันวาคม รายงานผลประกอบการของไมครอนเทคฯ สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ ด้วยความต้องการเครือข่ายเน็ตเวิร์ค ศูนย์กลางข้อมูล และรถยนต์อัจฉริยะมากขึ้น ภายใต้การบริหารของ CEO คนปัจจุบันนาย Sanjay Mehrotra ทำให้ไมครอนสามารถทำกำไรได้มากขึ้นจากความต้องการชิฟประมวลผลในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ ไปจนถึงบ้านอัจฉริยะ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มูลค่าหุ้นของบริษัทไมครอนฯ ยังถือว่าทำกำไรคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้น้อยกว่าดัชนีฟิลาเดียเซมิคอนดักเตอร์ (SOX) ซึ่งเป็นมาตรวัดหลักของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา ในขณะที่ดัชนี SOX ทะยานขึ้นได้มากกว่า 100% แต่ราคาหุ้น MU กลับปรับตัวลดลงมาแล้วในปีนี้ 16% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $78.10
2. Walgreen Boots Alliance
บริษัทเภสัชกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกานาม “วอลล์กรีน” (NASDAQ:WBA) จะรายงานผลประกอบการแบบปีงบประมาณประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ในวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทวอลล์กรีนจะสามารถทำกำไรได้ $33,180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.37
ภาพรวมของบริษัทวอลล์กรีนในปีนี้อาจต้องเผชิญกับการเติบโตที่ชะลอตัวลง เพราะพวกเขาต้องเจอกับคู่แข่งที่หันมาให้ความสนใจกับเภสัชกรรมมากขึ้น และการกำหนดให้สินค้าบางอย่างเป็นสวัสดิการที่ประชาชนชาวอเมริกันสามารถเข้าถึงได้ฟรี อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา วอลล์กรีนได้ปรับตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการตลอดทั้งปี 2022 ซึ่งพวกเขาก็ยังเชื่อมั่นว่าจะเติบโตได้ ความเชื่อมั่นนี้เกิดขึ้นมาจากรายงานผลประกอบการแบบปีงบประมาณของไตรมาสแรกที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้
แม้จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของภาครัฐ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพราะมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิดของรัฐ เป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทวอลล์กรีนในปีก่อนมีกำไรเพิ่มขึ้น จากความต้องการยาหรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโควิด อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในปีนี้ได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่า 10% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $47.12
3. Uber Technologies
บริษัทผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชันที่เอาไว้ใช้เรียกรถแท็กซี่นาม “อูเบอร์” (NYSE:UBER) พึ่งได้รับข่าวดีหลังจากที่บริษัทสามารถรักษาใบอนุญาตประกอบกิจการในลอนดอนต่อไปได้อีก 30 เดือน ถือเป็นการจบข้อพิพาทกับอังกฤษ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าสมควรที่จะดำเนินกิจการในประเทศต่อไปได้หรือไม่
บริษัทอูเบอร์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า “เราได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อีกเป็นเวลาสองปีครึ่ง” ก่อนหน้านี้อูเบอร์ถูกเพิกถอนใบอนุญาต 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2017 และครั้งที่สองในปี 2019 ลอนดอนเป็นหนึ่งในตลาดที่มีกำไรมากที่สุด ของอูเบอร์ ซึ่งภาครัฐมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการรักษาผู้โดยสารให้ปลอดภัยของบริษัท
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ อูเบอร์ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรในไตรมาสปัจจุบันขึ้น พวกเขาได้ปรับตัวเลขกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA) ขึ้นเป็น $130 - $150 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเดิม $100 - $130 ล้านเหรียญสหรัฐที่เคยคาดการณ์เอาไว้ในไตรมาสที่สี่ ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ $120.4 ล้านเหรียญสหรัฐอีกด้วย
ตลอดทั้งปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของอูเบอร์ปรับตัวลดลงมาแล้ว 19% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $34.06