Fed Funds Target Range
Actual: 0.25-0.50% Previous: 0.00-0.25%
KTBGM: 0.25-0.50% Consensus: 0.25-0.50%
- คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติให้ “ปรับขึ้น” อัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% พร้อมทั้งส่งสัญญาณเตรียมปรับลดงบดุลในการประชุมครั้งถัดไป หลังเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นและการจ้างงานก็ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ทั้งนี้ในส่วนประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dots Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้ง ในปี 2022 ซึ่งมากกว่าประมาณครั้งก่อน ตามภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายเฟดที่ 2%
- เราปรับมุมมองว่า เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยได้ทั้งหมด 7 ครั้งในปี 2022 สอดคล้องกับ Dots Plot หลังประธานเฟดเน้นย้ำว่า เฟดจะไม่เพิ่มความผันผวนต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้เราปรับแนวโน้มการลดงบดุลของเฟดมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยมีอัตราการลดสูงสุดเดือนละ 1 แสนล้านดอลลาร์
- ทั้งนี้ ตลาดรับรู้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมามากแล้ว จึงเหลือเพียงการลดงบดุลที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
- Next FOMC Decision: May 5 2022 (1 AM BKK)
คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติให้ “ปรับขึ้น” อัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50%
-
FOMC มองกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานเดินหน้าฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยรวมการจ้างงานฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จนอัตราว่างงานลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงจากปัญหาด้าน Supply Chain และการปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้างของราคาสินค้า นำโดยราคาสินค้าพลังงาน อย่างไรก็ดี สงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้สร้างความไม่แน่นอนสูงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยังสร้างแรงกดดันให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ดังนั้น เฟดจึงมีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้เฟดสามารถบรรลุเป้าหมายของเฟด ทั้งในด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อ หลังจากที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ 2%
-
นอกจากนี้ FOMC ยังส่งสัญญาณพร้อมปรับลดงบดุล ทั้งในส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงตราสาร MBS ในการประชุมครั้งถัดไป
-
ทั้งนี้ในส่วนประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ย (Dots Plot) คณะกรรมการ FOMC ได้มีมติปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในปี 2022 เป็น 2.8% แย่ลงจากเดิมที่มองไว้ +4.0% อย่างไรก็ดี เฟดยังคงมองว่า การจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ 3.5% และที่สำคัญ เฟดมองว่าอัตราเงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นได้มากกว่าที่เคยคาดก่อนหน้า โดยเฟดปรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป PCE ในปี 2022 เป็น 4.3% จาก 2.6% ซึ่งจากมุมมองต่อเศรษฐกิจ ทั้งการจ้างงานและเงินเฟ้อที่ดีขึ้น ทำให้ คณะกรรมการ FOMC ส่วนใหญ่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปี 2022 ทั้งหมดราว 7 ครั้ง หรือ +175bps ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการในเดือนธันวาคม ที่เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 3 ครั้ง หรือ +75bps นอกจากนี้ จากแนวโน้มเงินเฟ้อที่เฟดประเมินว่าอาจจะอยู่ในระดับสูงกว่า 2% ได้นาน ทำให้ เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 4 ครั้งในปี 2023 ทำให้จุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟดแตะระดับ 2.75-3.00%
เราปรับมุมมองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ 7 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่เคยมองไว้เพียง 4 ครั้ง หลังเงินเฟ้อพุ่งแรง แต่การจ้างงานสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง และมองว่าเฟดอาจลดงบดุลอย่างค่อยเป็นค่อยไป
-
แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เร่งตัวสูงขึ้นและอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด คือ ปัจจัยสำคัญที่เฟดกังวล จนทำให้เฟดกล้าที่จะขึ้นดอกเบี้ยได้หลายครั้ง ขณะเดียวกันจะเห็นได้ว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ทำให้เฟดก็ไม่ได้กังวลว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะกระทบการเติบโตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ประธานเฟดยังได้เน้นย้ำว่า เฟดจะไม่สร้างความผันผวนโดยไม่จำเป็น ดังนั้น เราจึงมองว่า เฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์บน Dots Plot ไว้ได้ จึงปรับมุมมองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ราว 7 ครั้ง (+175bps) ในปี 2022
-
อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่ควรติดตามและอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้คือ แนวโน้มการลดงบดุลของเฟด โดยเรามองว่า ควรจับตารายละเอียดการปรับลดงบดุลของเฟดที่อาจเริ่มมีการเปิดเผยตั้งแต่รายงานการประชุมเฟดเดือนมีนาคม (FOMC Meeting Minutes) ซึ่งจะเปิดเผยในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน ทั้งนี้ เรามองว่า การลดงบดุลของเฟดอาจมีลักษณะค่อยไปค่อยไปมากขึ้น หลังเฟดพร้อมขึ้นดอกเบี้ยได้ทุกครั้งของการประชุม โดยเฟดอาจเริ่มลดงบดุลในอัตราเดือนละ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ก่อนที่จะทยอยปรับเพิ่มขึ้นจนไปถึงระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ วิธีการลดงบดุลของเฟด ว่าเฟดจะทยอยให้ตราสารที่ถืออยู่ครบกำหนดอายุไป (Mature approach) หรือ เฟดจะเร่งลดงบดุลเพิ่มเติมด้วยการขายตราสารออกมา ซึ่งการขายตราสารนั้นอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดตราสารหนี้และส่งผลให้บอนด์ยีลด์มีการปรับตัวขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไปยังตลาดหุ้น
-
ทั้งนี้ เรามองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ประมาณการไว้หรือชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงที่รุนแรง อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครน บานปลายและรุนแรงจนทั่วโลกคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นรุนแรง ก่อให้เกิดภาวะ Stagflation ในหลายพื้นที่ หรือ ความเสี่ยงเศรษฐกิจจีนซบเซาหนักกว่าคาด เป็นต้น