และแล้วสัปดาห์ที่นักลงทุนทั่วโลกรอคอยก็ได้มาถึง เพราะในสัปดาห์นี้หรือวันที่ 15-16 มีนาคมจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกเชื่อว่าจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้แน่นอน แต่ถึงกระนั้น เชื่อว่าสำนักข่าวต่างๆ ก็จะยังคงเล่นข่าวสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนต่อไป
หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับใกล้กับ 0% มาตลอดตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าในการประชุมสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% เพราะก่อนหน้านี้นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เคยกล่าวในแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะเช่นนี้จึงทำให้ส่วนหนึ่งของตลาดประเมินว่าตลาดลงทุนอาจจะไม่เคลื่อนไหวต่อผลการประชุมมากนักหากออกมาเป็นไปตามคาด แต่สิ่งที่ตลาดลงทุนจะให้ความสนใจคือเหล่าบรรดาผู้มีสิทธิ์วางนโยบายการเงินอาจจะให้ข้อมูลคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และมุมมองที่มี่ต่อเศรษฐกิจในอนาคตจากการประชุมครั้งนี้เลยก็เป็นได้
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือปฏิกิริยาของตลาดลงทุนอาจทำให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้เชี่ยวชาญรู้สึกประหลาดใจ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้อเมริกามีดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี (7.9%) นั่นจึงทำให้ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องลดปริมาณเงิน พร้อมกับต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นหลังจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่สุดในประวัติศาสตร์
ถึงแม้ว่าผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีความสำคัญมากเพียงใด แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาดูควบคู่ไปด้วยกันคือสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียยูเครน ที่ยังคงรบกันอย่างต่อเนื่อง แม้รัสเซียจะต้องเจอกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงจากตะวันตกไปแล้ว หากสงครามมีการยกระดับความรุนแรง หรือมีความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ นั่นอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ด้วย
เส้นค่าเฉลี่ยดัชนีหลักทั้งสี่ของสหรัฐฯ มาถึงจุดตัดสำคัญ
ความผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้วทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลง 2.88% สร้างจุดต่ำสุดของสัปดาห์นับตั้งแต่สัปดาห์ของวันที่ 14 มิถุนายน
กราฟรูปนี้แสดงให้เห็นการสร้างกรอบรูปธงของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ซึ่งตำแหน่งที่สามเหลี่ยมนี้เกิดคือบริเวณเส้น neckline ของรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) สร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุนในตลาดมากขึ้น สัปดาห์นี้นักลงทุนต้องจับตาดูต่อว่าแนวรับที่เส้น neckline จะสามารถพยุงราคาเอาไว้ได้หรือไม่ เมื่อพิจารณาเส้นค่าเฉลี่ย 50 และ 200 วันแล้ว ตอนนี้เอสแอนด์พี 500 เป็นดัชนีเดียวที่เส้นทั้งสองยังไม่ตัดกัน
จากทั้งหมด 11 กลุ่มหุ้นบนเอสแอนด์พี 500 มีเพียงหุ้นกลุ่มพลังงานเท่านั้นที่สามารถปิดบวกในสัปดาห์ที่แล้วได้ด้วยการปรับตัวขึ้น 2.15% กลุ่มหุ้นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดคือสินค่าอุปโภคบริโภคด้วยตัวเลขติดลบ 5.84% ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมักจะปรับตัวปิดบวกได้ตลอดในยามที่เศรษฐกิจมีปัญหา แต่เพราะไฟสงครามที่ทำให้ต้นทุนการผลิตแพลงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลให้นักลงทุนเริ่มหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง ไปอยู่กับสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด และเป็นเหตุผลที่ทำให้หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคติดลบได้
ในสัปดาห์ที่แล้วดัชนีดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 2% สร้างจุดต่ำสุดนับตั้งแต่สัปดาห์ของวันที่ 15 มีนาคม เช่นเดียวกันกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดัชนีดาวโจนส์ก็กำลังปรับตัวเป็นรูปธงเช่นเดียวกัน แต่เส้นค่าเฉลี่ย 50 และ 200 วันได้ตัดกันไปเรียบร้อยแล้ว
อีกหนึ่งดัชนีที่ถูกนักลงทุนเทคือแนสแด็ก 100 ด้วยขาลงทั้งหมด 3.87% ตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว นับเป็นดัชนีที่ร่วงลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสามตัวที่เหลือ หากนับตั้งแต่จุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ตอนนี้แนสแด็ก 100 สร้างขาลงมาแล้วทั้งหมด 19.74% รูปนี้จะเห็นว่ากราฟแนสแด็ก 100 กำลังสร้างรูปธงเป็นอันที่สองติดต่อกัน นอกจากจะทำรูปแบบหัวไหล่เสร็จสมบูรณ์แล้ว เส้นค่าเฉลี่ย 50 และ 200 วันก็ตัดกันไปเรียบร้อยแล้วด้วย
ดัชนีตัวสุดท้ายที่ใช้วัดมูลค่าของบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กถึงกลางอย่างรัสเซล 2000 ปรับตัวลดลง 1.06% สร้างจุดปิดต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมปี 2020 ถึงจะเป็นขาลงก็จริง แต่เมื่อเทียบกับดัชนีหลักอีกสามตัว กลับพบว่ารัสเซล 2000 ปรับตัวลดลงน้อยที่สุด สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าผลกระทบที่กำลังจะเกิดกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะสร้างผลกระทบกับบริษัทขนาดเล็กน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ นักลงทุนจึงมีสัดส่วนการอพยพหนีจากการถือครองหุ้นตัวใหญ่มากกว่าหุ้นตัวเล็ก
แต่ถึงอย่างนั้น ดัชนีรัสเซล 2000 ก็ได้อยู่ในแนวโน้มขาลงอย่างเป็นทางการ ด้วยขาลงจากจุดสูงสุดตลอดกาลในวันที่ 8 พฤศจิกายน 20.94% แน่นอนว่ายิ่งมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มขาลงนี้จะยังคงอยู่กับดัชนีหลักทั้งสี่นี้ต่อไป ตอนนี้กราฟดัชนีรัสเซล 2000 กำลังสร้างสามเหลี่ยมสมมาตร ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ย 50 และ 200 วันได้ตัดกันลงมาแล้ว
กราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วสามารถขึ้นไปยืนเหนือ 2% ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง เมื่อวันศุกร์ กราฟอัตราผลตอบแทนฯ ได้ปรับตัวลดลงมาทำราคาปิดอยู่ที่ 1.997%
สาเหตุที่อัตราผลตอบแทนฯ ปรับตัวขึ้นมาเพราะนักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่ ดังนั้นผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจึงไม่เป็นที่พอใจของนักลงทุน ยิ่งได้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาเสริม เรายิ่งเชื่อมั่นในขาขึ้นของกราฟผลตอบแทนอายุ 10 ปี จากรูปนี้จะเห็นว่าก่อนหน้านี้กราฟได้หลุดการพักฐานแบบสามเหลี่ยมสมมาตรขึ้นมา และการย่อลงไปทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์และดีดตัวกลับขึ้นไปนั้นยิ่งทำให้เรามั่นใจในแนวโน้มขาขึ้นระลอกนี้
สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.48% ยืดขาขึ้นต่อไปอีกเป็นสี่จากห้าสัปดาห์ล่าสุด กราฟรายวันรูปนี้แสดงให้เห็นการกลับลงมาทดสอบแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์เรียบร้อย ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นจากเส้น neckline
แม้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่า แต่เพราะสถานการณ์สงครามก็ได้ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน แม้จะมีช่วงหนึ่งที่ทองคำจะขึ้นสูงจนเกือบถึงจุดสูงสุดตลอดกาลเดิม แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงปิดบวกตลอดทั้งสัปดาห์ 0.94% เท่านั้น หากไม่นับขาลงที่รูดกลับลงมาในรูป สัปดาห์ที่ผ่านมาทองคำสามารถขึ้นได้มากขึ้น 5.18% เหลืออีกเพียง 0.28% เท่านั้นก็จะเท่ากับจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนสิงหาคมปี 2020 แม้ว่าไฟสงครามยังไม่มอดดับ แต่ลักษณะแท่งเทียนเช่นนี้ถือว่าอันตรายต่อนักลงทุนทองคำในสัปดาห์นี้มาก ควรจับตาดูความเป็นไปได้ของขาลงอย่างใกล้ชิด
ราชาแห่งสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ในสัปดาห์ที่แล้วปิดติดลบ 1.5% น่าเสียดายที่บิทคอยน์ไม่สามารถรักษาขาขึ้นในสัปดาห์เดียวกัน 15.85% เอาไว้ได้ ขาขึ้นในตอนแรกเกิดมาจากข่าวหลุดจากทำเนียบขาวเกี่ยวกับการควบคุมคริปโตฯ ที่ตอนแรกถูกตีความว่าเหมือนจะสนับสนุนตลาด แต่เมื่อพิจารณาจริงๆ แล้วนักลงทุนถึงได้ตระหนักว่ารัฐบาลไบเดนก็ยังคงจะเดินหน้าควบคุมเสรีภาพของสกุลเงินดิจิทัลเหมือนเดิมอยู่ดี
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค สถานการณ์ของบิทคอยน์ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะสร้างแนวโน้มขาลงต่อ หากพิจารณาการไซด์เวย์ในปัจจุบัน กราฟบิทคอยน์ฟอร์มตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมลู่ขึ้น หากรูปแบบนี้เกิดตามแนวโน้มขาขึ้น จะเป้นการสนับสนุนเทรนด์เดิม แต่หากว่าเกิดในเทรนด์ขาลงเช่นนี้ ตามตำราแล้วมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลงต่อตามเทรนด์เดิม ที่สำคัญเส้นค่าเฉลี่ยได้ตัดกันแล้วเรียบร้อย
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นประมาณ 3% ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถดึงตัวเลขติดลบ 4.3% ตลอดทั้งสัปดาห์ให้กลับมาอยู่ในแดนบวกได้ เพราะสองวันก่อนหน้านั้น ราคาน้ำมันดิบ WTI ลงมารวมกันแล้วทั้งหมด 14.3%
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราเชื่อว่าราคาน้ำมันกำลังจะปรับตัวลดลงต่อ เป็นไปได้ว่าอาจจะลงไปทำจุดต่ำสุดที่ $80 ต่อบาร์เรล จากการวิเคราะห์กราฟ 4 ชั่วโมง มีความเป็นไปได้ว่าราคาอาจจะกำลังเริ่มสร้างบริเวณไหล่ขวาของรูปแบบหัวไหล่ เพื่อทำแนวโน้มขาลงให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันจันทร์
21:00 (ประเทศจีน) รายงานตัวเลขผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าจะลดลงจาก 4.3% เป็น 3.9%
วันอังคาร
02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานจำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -31.9K เป็น -28.0K
05:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจาก ZEW: คาดว่าจะลดลงจาก 54.3 เป็น 10.0
08:30 (สหรัฐฯ) ดัชนีราคาผู้ผลิต: คาดว่าจะหดตัวจาก 1.0% เป็น 0.9%
วันพุธ
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 3.3% เป็น 1.0%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีก: คาดว่าจะลดลงจาก 3.8% เป็น 0.4%
08:30 (แคนาดา) ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน: ตัวเลขครั้งก่อนออกมาอยู่ที่ 0.8%
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: สัปดาห์ที่แล้วออกมาอยู่ที่ -1.863M
14:00 (สหรัฐฯ) การประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอเมริกา: คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.25% รวมแล้วเป็น 0.5%
14:30 (สหรัฐฯ) ถ้อยแถลงจากการประชุมของธนาคารกลาง
วันพฤหัสบดี
04:30 (ยูโรโซน) ถ้อยแถลงจากประธานธนาคารกลางยุโรป
08:00 (ยูโรโซน) ดัชนีราคาผู้บริโภค: คาดว่าจะคงที่ 5.8% YoY
08:00 (สหราชอาณาจักร) การประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 0.50% เป็น 0.75%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานการอนุญาตก่อสร้าง: คาดว่าจะลดลงจาก 1.895M เป็น 1.850M
23:00 (ญี่ปุ่น) แถลงนโยบายการเงินจากธนาคารกลาง
วันศุกร์
08:30 (แคนาดา) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกพื้นฐาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -2.5% เป็น -2.0% MoM
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยมือสอง: คาดว่าจะลดลงจาก 6.50M เป็น 6.16M