ประเด็นที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในสัปดาห์นี้นอกจากสถานการณ์รัสเซียยูเครน และเงินเฟ้ออเมริกาที่สูงที่สุดในรอบสี่สิบปีแล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ที่สามารถเรียกได้ว่ายืนเหนือระดับ $100 บาร์เรลได้อย่างมั่นคงแล้ว จุดสูงสุดตลอดกาลที่เบรนท์เคยทำได้คือ $132.2 ต่อบาร์เรล เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมปี 2008
ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ตอนนี้นักลงทุนต้องจำตัวเลขจุดสูงสุดตลอดกาลของเบรนท์เอาไว้ให้ได้ เพราะในระยะเวลา 5 วันล่าสุด (ที่นับถึงวันที่ 8 มีนาคม 2022) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ให้ช่วงนั้นมีราคาปิดอยู่ที่ $112.93, $110.46, $118.11, $123.21 และ $127.98 ตามลำดับ
จริงอยู่ว่าการเปรียบเทียบกับอดีตนี้ยังไม่สามารถวัดมูลค่าของเงินดอลลาร์ ณ ตอนนั้นกับตอนนี้ได้อย่างแม่นยำ แต่หากวิเคราะห์โดยอ้างอิงอัตราเงินเฟ้อมกราคม 2022 ที่ 7% ราคาเบรนท์ในสัปดาห์ที่แล้วจะสอดคล้องกับระดับราคา $88.35, $86.42, $92.41, $96.40 และ $100.13 ในเดือนกรกฎาคม 2008 ทำให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าราคาน้ำมันขณะนี้อยู่ในระดับสูง แต่มูลค่าของน้ำมันหนึ่งบาร์เรลยังไม่ถึงระดับเดียวกับกับเมื่อ 14 ปีก่อน
ในช่วงต้นสัปดาห์ธนาคาร JP Morgan คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้อาจจะได้เห็นราคาน้ำมันที่ 185 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ Goldman Sachs คาดการณ์เอาไว้ที่ $175 ต่อบาร์เรล แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้ต้องฟังหูไว้หู แต่ก็ยังคงทำให้เกิดคำถามที่สำคัญที่ว่า…
“ถ้าหากราคาน้ำมันจะยังคงขึ้นต่อไป แล้วราคาจะขึ้นไปได้อีกไกลแค่ไหน?”
ปัจจัยอะไรบ้างที่จะส่งผลกับคำถามนี้ บทความนี้จะพาไปดู
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครน
เชื่อว่าตอนนี้ทั้งโลกมีความเห็นตรงกันว่ายิ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งยูเครน-รัสเซียอได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาได้เร็วเท่านั้น มีข้อเสนอแนะอย่างมากว่าวัตถุประสงค์หลักของการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียคือเพื่อป้องกันไม่ให้ NATO ขยายอิทธิพลและควบคุมแหลมไครเมีย
แม้ว่าที่ผ่านมาฝั่งตะวันตกจะพูดอยู่ตลอดว่าจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยยูเครน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วดูเหมือนว่า NATO ได้ปฏิเสธคำขอที่ยูเครนต้องการมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนทางอากาศและการเข้าร่วมเป้นสมาชิกที่ต้องใช้ระยะเวลาพิจารณาอยู่หลายปี ยูเครนไม่ได้เป็นสมาชิก NATO และรัสเซียต้องการให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
ในช่วงการปกครองของโอบามา มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกเข้าไครเมียและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้ว่าประชาชนที่อยู่ในแหลมนั้นจะเลือกรัสเซียไปแล้ว แต่ยูเครนก็ไม่เคยประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ และก็ไม่สามารถควบคุมภูมิภาคนั้นได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากยูเครนและรัสเซียตกลงที่จะเจรจาอย่างจริงจัง และหากแต่ละฝ่ายกระตือรือร้นที่จะยุติการต่อสู้ ก็ไม่มีเหตุผลที่ยูเครนจะยินยอมให้รัสเซียเข้าควบคุมไครเมียอย่างเป็นทางการ
หากความขัดแย้งสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว (แม้ไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด) ตลาดลงทุนก็จะคลายความกังวล นั่นจึงจะเป็นสัญญาณให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงได้
การส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมายุโรป
ดังที่ไบเดนยอมรับในสุนทรพจน์เมื่อวันอังคารของเขา ยุโรปอาจไม่สามารถตัดขาดจากแหล่งพลังงานของรัสเซียได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะหมายถึงการขาดพลังงานและเชื้อเพลิงอย่างรุนแรง ทวีปยุโรปจะต้องทนทุกข์ทรมาน และทุกพื้นที่ของยุโรปดูเหมือนจะเต็มใจรับความเจ็บปวดนั้นแลกกับความมีมนุษยธรรมแน่ๆ ดังนั้นในจุดนี้ ตลาดอาจจะสรุปว่าน้ำมันและก๊าซของยุโรปจะยังคงต้องติดต่อค้าขายกับรัสเซียต่อไป
ไบเดนออกคำสั่งพิเศษห้ามนำเข้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากรัสเซีย ทั้งๆ ที่รัสเซียไม่ได้จัดหาน้ำมันดิบให้สหรัฐฯ เป็นหลักอยู่แล้ว ดังนั้นคำสั่งพิเศษนี้จะไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ WTI ของอเมริกามากนัก อันที่จริงตลาดน้ำมันและตลาดหุ้นดูเหมือนพอใจที่การประกาศของไบเดนช่วยให้ตลาดมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น
การทำลายอุปสงค์
การทำลายอุปสงค์ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คำถามก็คือแล้วจุดที่เราจะเห็นความต้องการลดลงมากพอจนเป็นที่สังเกตได้ในตลาดคือตรงไหน? คำตอบนั้นได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อมีสายการบินแห่งหนึ่งประกาศยกเลิกเที่ยวบินด้วยสาเหตุที่ราคาพลังงานแพงเกินไปจนไม่คุ้มค่าตั๋วโดยสาร
ด้วยราคาน้ำมันและก๊าซที่สูงขึ้น เราจึงไม่อาจทราบได้ว่านักเดินทางจะเปลี่ยนแผนการเดินทางในอเมริกาเหนือและยุโรปหรือไม่ ในตอนนี้ที่สถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย โลกกำลังกลับมามีความคาดหวังว่าการเดินทางจะเพิ่มขึ้น ผู้คนทั่วโลกกำลังจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติหลังเกิดโรคระบาด แต่เมื่อราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินสูงเกินไป ประกอบกับเงินเฟ้อที่สูงสที่สุดในรอบสี่สิบปี ผู้บริโภคอาจเลือกที่อยู่บ้าน ไม่ต่างอะไรกับการกักตัวเพราะโควิด-19 ในช่วงก่อน
ตอนนี้นักลงทุนต้องจับตาดูว่าต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีราคาแพงขนาดนี้จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ณ จุดใด เราจะเริ่มเห็นสัญญาณสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว บริษัทผู้ผลิตเหล็กในยุโรปเริ่มลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากค่าไฟฟ้า อัตราเงินเฟ้อและปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้น ราคาน้ำมันและก๊าซที่มีราคาแพงจึงเป็นภัยคุกคามต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแท้จริง หากเศรษฐกิจไม่ดี อุปสงค์หรือระดับความต้องการก็จะถูกบังคับให้ลดลงโดยอัตโนมัติ
โดยสรุปแล้ว…
ความผันผวนของตลาดลงทุนในช่วงนี้เป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับนักลงทุนในระยะยาว แต่ก็เป้นช่วงเวลาทองสำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไร คำแนะนำสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ที่เราพอจะให้ได้คือ อย่าพยายามคาดการณ์จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่น่าจะเป็นไปได้ของราคา เพราะนั่นเป็นการกระทำที่เสียเวลาเปล่า