ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาไม่สดใสเอาเสียเลย และสัปดาห์นี้ก็เป้นอีกครั้งที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเปิดมาด้วยการสร้างขาลง เมื่อตัวแปรอย่างตลาดหุ้นเปลี่ยนไป แต่โจทย์ของนักลงทุนยังคงเหมือนเดิม คือต้องการรายได้ที่มั่นคง พวกเขาจึงเริ่มมองหาหุ้นและกองทุนตัวใหม่ที่ดูแล้วจะสามารถมอบผลตอบแทนในระยะยาวให้กับพวกเขาได้ เช่นเคย ในบทความนี้เรามีสองกองทุน ETF ที่อาจจะเป็นคำตอบนั้นให้กับคุณ
1. Invesco KBW High Dividend Yield Financial ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $19.05
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $18.03 - $21.65
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 7.80%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 2.59% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราจะแนะนำคือ Invesco KBW High Dividend Yield Financial ETF (NASDAQ:KBWD) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัททางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงในสหรัฐอเมริกา บริษัทที่กองทุนนี้เลือกอยู่ในระดับเล็กขึ้นไปจนถึงกลาง (อ้างอิงจากมูลค่าตามราคาตลาด) KBWD เปิดเริ่มต้นให้ลงทุนครั้งแรกเดือนธันวาคมปี 2010 มีสินทรัพย์รวมทั้งหมด $481.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน KBWD ถือครองหุ้นของบริษัทอยู่ทั้งหมด 42 แห่ง อ้างอิงราคาตามดัชนี KBW Nasdaq Financial Sector Dividend Yield Index หุ้นสิบอันดับแรกคิดเป็น 35% ของกองทุนทั้งหมด หากพิจารณาการถือครองออกเป็นสัดส่วนจะพบว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ถือครองมากที่สุด (39.44%) ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (36.33%) กลุ่มที่ดินจำนอง (5.18%) และกลุ่มคุ้มครองประกันภัย (4.70%)
หุ้นของบริษัทชื่อดังที่ถือครองอยู่ได้แก่ Newtek (NASDAQ:NEWT) FS KKR Capital (NYSE:FSK) Ellington Financial (NYSE:EFC) ARMOUR Residential (NYSE:ARR) และ Ready Capital (NYSE:RC)
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด ราคาของ KBWD มอบผลตอบแทนคืนแก่นักลงทุนไปแล้ว 3.76% สร้างจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ไปเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2021 มีอัตราการปันผลอยู่ที่ 7.80% KBWD มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 11.93x และ 1.46x ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เราต้องย้ำว่าการวัดมูลค่าแบบเดิมไม่สามารถใช้ในการประเมินกองทุนภาคการเงิน (หรือหุ้น) ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามีหุ้นอสังหาริมทรัพย์ และ REIT สินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งใช้เลเวอเรจในการต่อรอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบสถานะของกองทุนเพิ่มเติม
KBWD สมควรได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ต้องการรายได้ ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งผลตอบแทนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม กองทุนนี้มีอัตราค่าใช้จ่ายสูง และความจริงที่ว่าการถือครองส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก สามารถเพิ่มความผันผวนของผลตอบแทนในระยะสั้นได้ นักลงทุนควรตระหนักถึงทั้งข้อดีและข้อเสียของ ETF ตัวนี้ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
2. Global X NASDAQ 100 Covered Call ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $19.80
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $19.43 - $23.58
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 13.04%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.60% ต่อปี
กองทุนตัวที่สองที่เราจะแนะนำมีชื่อว่า Global X NASDAQ 100 Covered Call ETF (NASDAQ:QYLD) เป็นกองทุนที่ลงทุนกับตลาดออปชัน ที่ใช้กลยุทธ์การเทรดที่มีชื่อว่า “buy-write” กองทุนนี้ซื้อหุ้นของบริษัทที่สังกัดอยู่ในดัชนีแนสแด็ก 100 หากเป็นนักลงทุนในตลาดออปชันย่อมต้องทราบดีว่าค่าพรีเมียมของตลาดแห่งนี้จะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ตลาดมีความผันผวนมากขึ้น จึงทำให้ผลตอบแทนของกองทุนอย่าง QYLD ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
สิ่งที่นักลงทุนต้องควรระวังเอาไว้สำหรับการลงทุนใน ETF ตัวนี้คือกลยุทธ์ที่กองทุนนี้เลือกใช้ทำให้มันได้เปรียบในตลาดขาลง ดังนั้นจุดที่สำคัญที่สุดในการลงทุนกับ QYLD คือจังหวะที่สัญญาซื้อขายหมดอายุ กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2013 มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมด $6,340 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถึงแม้ว่าตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ดัชนีแนสแด็ก 100 และกองทุน QQQ จะปรับตัวลดลงไปแล้วประมาณตัวละ 15% แต่เมื่อเทียบกับ QYLD ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน กองทุนตัวนี้กลับปรับตัวลดลงไปเพียง 10.7% เท่านั้น และที่สำคัญกองทุนนี้ยังสามารถมอบเงินปันผลคืนให้ผู้ถือครองทุกเดือน ในระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด QYLD มอบเงินคืนแก่ผู้ถือครองไปแล้ว 14.46%
เราต้องขอย้ำเตือนแก่นักลงทุนที่สนใจอีกครั้งว่ากองทุนนี้เป็นกองทุนที่เทรดตามกลยุทธ์เฉพาะในตลาดออปชัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ตลาดเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้น ให้ระวังความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเอาไว้ให้ดี เช่นแนสแด็กที่ปรับตัวขึ้นมา 2.1% ในกรอบเวลา 12 เดือน ได้ทำผราคากองทุน QYLD ร่วงลง 15.5% แต่ยังสามารถรักษาอัตราผลตอบแทนเอาไว้ที่ 12.9% ได้