เชื่อว่าใครหลายๆ คนในช่วงต้นปีกำลังอยู่ระหว่างการปรับพอร์ตการลงทุน หาข้อมูลหุ้นที่น่าสนใจ หาความเป็นไปได้ในการทำกำไรกับตลาดต่างๆ และหนึ่งในคำถามยอดฮิตที่มักจะได้ยินในทุกๆ ปีคือ
“ถ้าให้เลือกหุ้น 10 ตัวบนดัชนีดาวโจนส์ที่มีโอกาสปันผลสูงสุด ควรเลือกหุ้นตัวไหนดี?”
กลยุทธ์การลงทุนเช่นนี้ในภาษานักลงทุนมีคำเรียกว่า “Dog of the Dow” หมายถึงกลยุทธ์การลงทุนที่พยายามเอาชนะค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ในแต่ละปี โดยเน้นพอร์ตการลงทุนให้ผลตอบแทนสูง นักลงทุนกลุ่มนี้จะเลือกหุ้นมาทั้งหมด 10 ตัว ซึ่งหุ้นเหล่านั้นจะต้องมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง และนักลงทุนกลุ่มนี้จะต้องถือหุ้นทั้งสิบตัวนี้ไปตลอดทั้ง 12 เดือน ตามความเห็นของเรา หุ้น 10 ตัวในปี 2022 ประกอบไปด้วย
Dow (NYSE:DOW) - มีอัตราปันผล 4.82%
International Business Machines (NYSE:IBM) - มีอัตราปันผล 4.81%
Verizon Communications (NYSE:VZ) - มีอัตราปันผล 4.75%
Chevron (NYSE:CVX) - มีอัตราปันผล 4.34%
Walgreens Boots Alliance (NASDAQ:WBA) - มีอัตราปันผล 3.55%
Merck (NYSE:MRK) - มีอัตราปันผล 3.54%
Amgen (NASDAQ:AMGN) - มีอัตราปันผล 3.45%
3M (NYSE:MMM) - มีอัตราปันผล 3.28%
Coca-Cola (NYSE:KO) - มีอัตราปันผล 2.75%
Intel (NASDAQ:INTC) - มีอัตราปันผล 3.58%
ถึงแม้ว่ากลยุทธ์การลงทุนนี้จะเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ก็ไม่มีกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนกับสิบหุ้นดาวเด่นประจำปีเช่นนี้แบบตายตัว อย่างไรก็ตาม กองทุน ETF ที่เราจะแนะนำในบทความนี้อาจจะสามารถทำให้นักลงทุนที่สนใจหุ้นสหรัฐฯ ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงชายตากลับมามองได้บ้าง
ALPS Sector Dividend Dogs ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $54.91
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $44.80 - $56.20
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 3.55%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.4% ต่อปี
กองทุน ALPS Sector Dividend Dogs ETF (NYSE:SDOG) เป็นกองทุนที่นำเอาหลักการของ Dog to the Dow มาใช้ แม้จะไม่ได้เลือกหุ้นสิบตัวตามที่เราได้ให้ข้อมูลไปแบบเหมือนเป๊ะ แต่กองทุนนี้ก็ได้ใช้วิธีเลือกหุ้นหนึ่งตัวมาจากหนึ่งกลุ่ม ที่มีอัตราการปันผลใกล้เคียงกับหุ้นที่อยู่ใน Dog to the Dow ในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน SDOG ได้ประกาศรายชื่อหุ้น 5 จาก 10 ตัวที่มีอัตราการปันผลดีที่สุด ซึ่งคัดมาจาก 11 กลุ่มหุ้น (ไม่รวมกลุ่มอสังหาฯ) ของดัชนีเอสแอนด์พี 500
SDOG เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2012 อ้างอิงความเคลื่อนไหวตามดัชนี S-Network Sector Dividend Dogs Index ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 50 บริษัท เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 10 กลุ่มตามที่ได้ให้ข้อมูลไปก่อนหน้า เฉลี่ยแล้วกลุ่มละ 10% เท่าๆ กัน กลุ่มหุ้นที่ SDOG เลือกถือครองได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมบริการสื่อสาร สินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน การเงิน สุขภาพ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง และสาธารณูปโภค
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 20% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Newmont Goldcorp (NYSE:NEM) Bristol-Myers Squibb (NYSE:BMY) Amgen (NASDAQ:AMGN) AbbVie (NYSE:ABBV) AT&T (NYSE:T) International Business Machines (NYSE:IBM) และ Cisco Systems (NASDAQ:CSCO)
จากหุ้นทั้งหมด 10 ตัวใน Dog to the Dow มีเพียงสามตัวเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ใน SDOG นั่นก็คือหุ้นของบริษัทเชฟรอน เมิร์ค และโคคาโคลา เท่ากับว่าหากลงทุนกับ ETF นี้ ก็เหมือนได้ใช้กลยุทธ์ Dog to the Dow ไปแล้ว 70% ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด SDOG มอบผลตอบแทนกลับคืนสู่นักลงทุนมาแล้ว 19.1% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่เอาไว้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
หากคิดจะลงทุนกับหุ้นบนดัชนีดาวโจนส์ หรือ SDOG ในปีนี้เรามองว่าเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศแล้วว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้แน่นอน ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องที่ล่อเลี้ยงตลาดหุ้นหายไป เกิดเป็นแนวโน้มขาลง และนั่นคือช่วงเวลาดีที่จะเข้าซื้อ
นอกจาก SDOG ยังมีกองทุน ETF อื่นที่มีลักษณะคล้ายๆ กันอีก และมีอัตราการปันผลที่น่าสนใจ กองทุนเหล่านั้นได้แก่
- ALPS International Sector Dividend Dogs ETF (NYSE:IDOG) - มีอัตราปันผล 3.79% ตลอดทั้งปี 2021 ปรับตัวขึ้นมา 5.0%
- ALPS REIT Dividend Dogs ETF (NYSE:RDOG) - มีอัตราปันผล 3.01% ตลอดทั้งปี 2021 ปรับตัวขึ้นมา 29.4%
- Invesco Dow Jones Industrial Average Dividend ETF (NYSE:DJD) - มีอัตราปันผล 2.07% ตลอดทั้งปี 2021 ปรับตัวขึ้นมา 17.6%
- Schwab U.S. Dividend Equity ETF™ (NYSE:SCHD) - มีอัตราปันผล 2.77% ตลอดทั้งปี 2021 ปรับตัวขึ้นมา 24.4%