เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ครั้งล่าสุดได้ข้อสรุปออกมาว่าจะเพิ่มวงเงินการลด QE จาก $15,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น $30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สื่อหลายแห่งยกให้การตัดสินใจครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่ในความเห็นของผมการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนอะไรนอกจากความย้อนแย้งในการวางนโยบายการเงินของเฟดเอง
ไม่แปลกใจว่าทำไมเมื่อผลการประชุมของเฟดออกมา พวกเขายังคนโดนวิจารณ์เรื่องการทำงานต่อ คำถามที่พบเจอบ่อยที่สุดก็คือเงินจำนวน $30,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่จะเพิ่มเข้ามานั้นเพียงพอที่จะลดความเร็วของอัตราเงินเฟ้อแล้วจริงหรือ อันที่จริงเงินจำนวนนี้ยังถือว่าช้ามาก และเฟดก็ยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในทุกๆ เดือน ทั้งๆ ที่ราคาสินค้าทั่วประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น
บรรณาธิการของนิตยสาร Wall Street Journal ถึงกับวิจารณ์นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดเลยว่าการวางนโยบายการเงินเช่นนี้สะท้อนความคิดของเขาว่ายังคงเชื่อว่าเงินเฟ้อเป็นเรื่องชั่วคราวอยู่ดี ถึงแม้ว่าเขาจะประกาศชัดต่อหน้าสภาคองเกรสว่าต้องโบกมือลาคำว่า “เงินเฟ้อชั่วคราว” ไปได้แล้ว สำหรับคนที่เชื่อว่าการเปลี่ยนนโยบายการเงินในการประชุมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมคือจุดเปลี่ยนที่จะเป็นทิศทางที่ดีขึ้น แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมผลการประชุมแผนภูมิภาพแบบจุด (dot-plot) ครั้งนี้ถึงมีคณะกรรมการนโยบายการเงินเก้าคนโหวตให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสามครั้งภายในปีหน้า ทั้งๆ ที่การประชุมครั้งก่อนไม่มีใครให้คะแนนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเลยสักคน
ที่มา: Bloomberg
นี่คือแผนภูมิภาพแบบจุดซึ่งเป็นการสรุปคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจทุกไตรมาส แต่เจอโรม พาวเวลล์กลับเคยบอกว่าไม่จำเป็นต้องสนใจกราฟตัวนี้มากขนาดนั้นก็ได้ การเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งนี้ เฟดมองว่าเป็นความสำเร็จของพวกเขา และสำนักข่าวสายอวยบางแห่งก็ยกให้การเพิ่มวงเงินการลด QE ที่จะจบลงในเดือนมีนาคมปี 2022 เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม แต่ช่างน่าเสียดายที่หลายคนลืมภาพในปี 2019 ไปแล้ว ที่เฟดเปลี่ยนนโยบายการเงินฉับพลันด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูง และค่อยๆ ลดเป้าหมายกองทุนของตัวเองลงมา ก่อนที่โควิดจะเข้ามา และเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบายให้ลงมาเหลือ 0.00% - 0.25% จนถึงปัจจุบัน
การกลับลำกระทันหันของเฟดในตอนนั้นโดนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่อว่าอย่างรุนแรง ซึ่งเฟดก็ทำได้เพียงออกมายอมรับแบบไม่อยากจะเต็มใจเสียเท่าไหร่ว่าตัดสินใจผิดพลาด ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคสวยๆ ว่าจะไม่เปลี่ยนนโยบายการเงินตามใจชอบอีกแล้วเพียงเพราะเห็นสัญญาณเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนถึงงงกันทั่วหน้าว่า ตอนนั้นมีเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อยก็รีบเปลี่ยนนโยบายการเงินมารองรับแล้ว แต่ตอนนี้ ตอนนี้เงินเฟ้ออยู่ที่ 6.8% สูงกว่าระดับเป้าหมาย 2% ไปไกลมาก แต่ทำไมเฟดกลับไม่ทำอะไร นอกจากเอาแต่พูดว่า “อัตราการจ้างงานยังไม่กลับมา” และ “เงินเฟ้อเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว”
ในสายตานักลงทุนตอนนี้ภาพลักษณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตอนนี้มีความน่าเชื่อถือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นี่อาจจะไม่ใช่องค์กรที่เป็นกลาง และอยู่เหนือการเมืองอีกต่อไป น่าแปลกใจหรือไม่ว่าทำไมเจอโรม พาวเวลล์ถึงเปลี่ยนนโยบายการเงินทันทีหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งประธานเฟดเป็นสมัยที่สอง? แน่นอนว่าอาจจะมีข้อดีหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นความต่อเนื่องของนโยบาย แต่ต้องไม่ใช่เรื่องการจัดการเงินเฟ้ออย่างแน่นอน รายเควิน วอร์ช อดีตบอร์ดบริหารเฟดในช่วงระหว่างปี 2006 - 2011 วิจารณ์การทำงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ และกล่าวว่าเป็นสาเหตุสถานการณ์เงินเฟ้อในตอนนี้
“ความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อผู้วางนโยบายตัดสินใจที่จะดูถูกปัญหา และหันไปหาแพะตัวอื่นมารับบาป เงินเฟ้อจะกลายเป็นส่วนของกระบวนการตั้งราคาสินค้าเมื่อธนาคารกลางฯ ไม่กล้าตัดสินใจหรือตัดสินใจล่าช้าในการทำนโยบายการเงินให้รัดกุม จากจุดเริ่มต้นของเงินเฟ้อในปี 2020 จนถึงปัจจุบัน เฟดเป็นคนเปิดประตูให้ปีศาจตนนี้เข้ามาเอง”
ฝั่งผู้ที่ปกป้องเฟดหลายคนให้เหตุผลว่าที่เฟดตัดสินใจล่าช้าเป็นเพราะพวกเขาอ้างอิงตามตัวเลขเศรษฐกิจจริงที่ออกมา นางแมรี่ ดาลีย์ ประธานธนาคารกลางสาขาซาน ฟรานซิสโก ที่เคยเห็นด้วยกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า มาถึงตอนนี้เธอกลับบอกว่าการตัดสินใจของเฟดเมื่อวันพุธที่แล้วเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด และเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม
“การตัดสินใจจบการลด QE เร็วขึ้นทำให้ธนาคารกลางมีตัวเลือกในแง่ของเวลามากขึ้น จากเดิมที่เราเคยคิดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ก็สามารถทำได้อย่างเร็วที่สุดคือเมษายน หรือถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นมาก ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2022 ก็ยังได้”
แมรี่ยังให้เหตุผลอีกว่าถ้าหากเฟดตัดสินใจทำนโยบายการเงินให้รัดกุมทันที ก็จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งคำพูดนี้ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก มิกกี้ เลวี่ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร Berenberg เยอรมันที่มีสาขาอยู่ในนิวยอร์กกล่าวว่าเพราะแมรี่และ FOMC มีทัศนคติแบบนี้จึงได้สร้างข้อผิดพลาดเรื่องเงินเฟ้อขึ้นมา
“เงินเฟ้อเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะหายตัวเองได้ เงินเฟ้อต้องการนโยบายการเงินที่เด็ดขาดมาจัดการ ปัญหาซัพพลายเชนคอขวดทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นจริง แต่ต้นตอของปัญหานั้นอยู่ที่การเติบโตที่มาเร็วเกินไปจากปริมาณเงินล้นระบบ เหมือนตอนนี้น้ำล้นแก้วแล้ว แต่แทนที่จะรีบดื่ม หรือหยุดเติมน้ำ คุณกลับนั่งมองดูแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวน้ำก็จะหยุดล้นแก้วเอง การขึ้นอัตราดอกเบี้ยควรทำตั้งแต่การประชุมครั้งถัดไปในเดือนมกราคมเลยด้วยซ้ำ การปรับนโยบายการเงินให้รัดกุมอาจทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงมา แต่ก็เลือกเอาละกันว่าจะเซฟตลาดหุ้นแล้วปล่อยให้เงินเฟ้อ หรือเลือกจัดการเงินเฟ้อทันทีเพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเดินต่อไปได้อีกครั้ง”
อนึ่ง ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายนทะยานขึ้นแตะระดับ 6.8% สูงที่สุดในรอบ 39 ปี ในขณะเดียวกัน ดัชนีราคาผู้ผลิตก็ปรับตัวขึ้นแตะ 9.6% สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ข้อมูลนี้ไม่ได้บอกว่าเฟดในปี 2021 ทำงานได้ดี และไม่ได้บอกว่าปี 2022 จะเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ