เข้าสู่ช่วงพักรอดูOmicron + เทศกาลปีใหม่ Top Pick เลือก CPN, KBANK (BK:KBANK) และ SCC
ความเสี่ยง Omicron ที่ยกระดับสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมในตลาดการเงิน ดูไม่เอื้อต่อ Sentiment การลงทุน ประกอบกับการเข้าใกล้ช่วยเทศกาล วันหยุดสิ้นปี ภาวะดังกล่าวน่าจะทำให้เกิดการชะลอตัวของการลงทุน และมี การพักเงินบางส่วนไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัย ประเด็นที่ต้องติดตามในประเทศ ให้น้ำหนักไปที่แนวนโยบายการเงิน-การคลัง โดยในสัปดาห์นี้จะมีการประชุม กนง. เบื้องต้นคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ตามเดิมและ ต่อเนื่องในปี 2565 ส่วนมาตรการทางการคลังยังน่าจะเห็นมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง รอดูการประชุม ครม. สัปดาห์นี้ที่คาดว่าจะมีการ ออกมาตรการ ช้อปดีมีคืน กระตุ้นค้าปลีก ประเมินว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1620 – 1658 จุด พอร์ต จำลองได้Stop profit หุ้น AOT (BK:AOT) น้ำหนัก 15% ให้ถือเป็นเงินสดสำรอง หุ้น Top Pick เลือก CPN, KBANK และ SCC
2 สัปดาห์โค้งสุดท้ายของปี คาด Upside สินทรัพย์เสี่ยงจำกัด เชื่อว่าช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ (เหลืออีก 2 สัปดาห์) มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นทั่ว โลก และสินทรัพย์เสี่ยงน่าจะเบาบาง เนื่องจากโดยเป็นช่วงสุดท้ายของปี และใกล้ปีใหม่ 2565 และมีเทศกาล Christmas Eve วันศุกร์ที่ 24 ธ.ค. ตลาดหุ้นยุโรป และสหรัฐ ฯลฯ ปิดทำการ และหากพิจารณาสถานการณ์แวดล้อมในปัจจุบัน ยังมีแรงกดดันที่ พิเศษกว่าทุกปี คือ การแพร่กระจาย Covid สายพันธุ์ Omicron ล่าสุดแพร่กระจายไป แล้วเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะการระบาดระลอกที่ 4 ในกลุ่มประเทศยุโรป และสหรัฐ หลังผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูง (ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝรั่งเศส : ยกเลิก จัดงานฉลองปีใหม่, เนเธอร์แลนด์: ประกาศ Lockdown ช่วงคริสต์มาส) สวนทางกับ เอเซีย และไทย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง (แต่ต้องติดตามวันหยุด มี รายงานพบ ชาวไทย ติดเชิ้อ สายพันธุ์ Omicron เพิ่ม 6 คน) โดยรวมประเมินเม็ดเงินหรือ Flow ที่จะหนุน Upside ในการปรับขึ้นของสินทรัพย์ เสี่ยง และตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะจำกัด ประเมินตลาดหุ้นไทย SET Index ในสัปดาห์นึ้ คาดน่าจะแกว่งในกรอบแนวรับ 1620 จุด (เส้นค่าเฉลี่ย EMA 12 Weeks) และแนว ต้านสำคัญ ประเมิน 1658 จุด (High ของปีนี้ที่ยังไม่เคยผ่าน)
ในส่วนของสินทรัพย์อื่นๆ ในช่วงสั้น เงินไหลเข้าเงินสกุล Dollar พลิกแข็งค่าแรง ขึ้นมา อยู่ที่ 96.5 จุด เป็นปัจจัยกดดัน ราคา Commodity ปรับลงทุกประเภท อาทิ ราคา น้ำมันดิบ Sentiment ลบต่อ PTT (BK:PTT), PTTEP ค่าระวางเรือ BDI ปรับลงต่อเนื่อง ลบต่อ หุ้นเรือเทกอง อาทิ TTA, PSL
คาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ยต่ำ หนุน Market Earnings Yield Gap สูง
กระแสการปรับทิศทางนโยบายการเงินของทั่วโลกที่มีความผ่อนคลายน้อยลงอย่าง ชัดเจนและต่อเนื่องทั่วโลก สังเกตได้จากธนาคารหลักของโลกล้วนพร้อมใจกันส่ง สัญญาณ QE Tapering เช่น สหรัฐ (Fed), ยุโรป (ECB) และญี่ปุ่น (BOJ)
ทั้งนี้ BOJ เป็นธนาคารกลางล่าสุดที่ส่งสัญญาณ QE Tapering เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดย BOJ จะปรับวงเงินเข้าซื้อหุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond) และตราสารหนี้เอกชนระยะ สั้น (Commercial Paper) ลงเหลือ 5 ล้านล้านเยน เริ่มต้นในเดือน เม.ย. 2565 จาก ปัจจุบันที่มีวงเงินเข้าซื้อ 20 ล้านล้านเยน
สัญญาณ QE Tapering จากธนาคารกลางทั่วโลกข้างต้น บ่งบอกว่าสภาพคล่อง ส่วนเกินที่จะรินไหลเข้ามาสู่ตลาดการเงินโลกในอนาคตจะมีแนวโน้มลดน้อยลง โดยเฉพาะในปี 2565 ที่จะถึงนี้ สร้างความท้าทายต่อสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ราคาสินค้า โภคภัณฑ์และตลาดหุ้นโลก อย่างไรก็ตาม แม้นโยบายการเงินโลกจะผ่อนคลายน้อยลง แต่ ASPS เชื่อว่าไทยจะใชนโยบายการเงินผ่อนคลายผ่านการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป โดยคาดว่าการประชุม กนง. วันที่ 22 ธ.ค. 2564 กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ ที่ 0.5% ตามเดิม และจะต่อไปตลอดในปี 2565 เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยัง มีความท้าทายสูง ทั้งเส้นทางที่ยังยาวไกล (GDP ไทย 3Q64 ยังต่ำกว่า GDP 4Q62 ถึง 5%, ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศมีGDP สูงกว่าก่อน COVID-19 แล้ว) และ ความเสี่ยงใหม่จากสายพันธุ์ Omicron รวมถึงแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ สะท้อนจาก อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราเงินเฟ้อไม่รวมพลังงาน-อาหารสด) ขยายตัวเพียง 0.29% บ่งบอกว่าอัตราเงินเฟ้อรวมที่สูงมาจากราคาพลังงานเท่านั้น
ASPS จึงเชื่อว่าไทยจะอยู่กับภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้ Market Earning Yield Gap (ส่วนต่างผลตอบแทนตลาดหุ้นกับพันธบัตร 1 ปี) อยู่ระดับกว้าง ต่อไป โดยปัจจุบันอยู่ที่ 4% (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต) หากคิดคำนวณเป็นดัชนี เป้าหมายของปี 2565 โดย ASPS คาด EPS65F ที่ระดับ 81 บาท/หุ้น (เติบโต 10%YoY) เมื่อคูณกับ P/E ตามกลไก Market Earning Yield Gap เฉลี่ย 3.9% ที่ 22.73 เท่า จะได้เป้าหมายดัชนีปี 2565 ที่ระดับ 1,840 จุด แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทย ยังมี Upside ให้ลงทุน แต่อีกแง่หนึ่ง ASPS ก็เชื่อว่า Downside ของอัตราดอกเบี้ยจะ จำกัดมากเช่นเดียวกัน จึงเป็นบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่แทบ ไม่มี Downside เหลือแล้ว อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (KBANK, SCB) กลุ่มประกันชีวิต (BLA) โดยในวันนี้เลือกให้ KBANK เป็นหนึ่งในหุ้น Toppick ของ ASPS
ประชุม ครม. สัปดาห์นี้ ลุ้นช้อปดีมีคืน และมาตรการหนุนรถ EV ประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ เนื่องจากตลาดหุ้นต่างประเทศปิดทำการหลายแห่งในวัน ศุกร์ที่ 24 ธ.ค. 2564 เนื่องในเทศกาล Christmas ส่งผลให้ปัจจัยหนุนจากต่างประเทศ เบาบาง ASPS จึงให้น้ำหนักกับในประเทศแทน เช่น การประชุม ครม., การประชุม กนง. และการส่งออก-นำเข้าของไทย
ทั้งนี้ในช่วงต้นของสัปดาห์ ASPS ให้น้ำหนักการประชุม. ครม. วันที่ 21 ธ.ค. 2564 ซึ่ง คาดจะมีการพิจารณา
1.มาตรการ‘ช้อปดีมีคืน’ (นำใบเสร็จค่าใช้จ่ายสินค้า-บริการมาหักลดหย่อน ภาษี) โดย ASPS มองว่าหาก ครม. อนุมัติมาตรการช้อปดีมีคืน เชื่อว่าจะมีผล ในช่วงต้นปี 2565 เป็นหลัก และอาจมีลุ้นว่ามาตรการจะครอบคลุมไปถึงเดือน ก.พ. 2565 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่จะได้ประโยชน์โดยตรง ได้แก่กลุ่มค้าปลีกโดยเฉพาะกลุ่มที่ขายสินค้า IT อาทิ COM7(FV@84.0), SPVI(FV@8.3), JMART(FV@42.2), กลุ่มตกแต่งบ้าน อาทิ HMPRO(FV@16.0), DOHOME(FV@30.7) กลุ่มห้างสรรพสินค้า เช่น CRC(FV@39.0), CPN(FV@69.0) กลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิต AEONTS (FV@B280) รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ดังรูป และในวันนี้ ASPS เลือก CPN เป็นหนึ่งใน หุ้น Toppick ของ ASPS
2.บอร์ด EV เตรียมเสนอ ครม. ลดภาษี สรรพสามิตรถ EV เหลือ 2% หรือ มาตรการเสริม 2 กลุ่ม คือ รถ EV ต่ำกว่า 2 ล้าน ลดราคา 20% คาดใช้ เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ อุดหนุนราคา ติดตามรายละเอียด ?? หรือ คาดเป็น Sentiment บวกต่อ EA(SWITCH: FV@57.0) GPSC(BUY:FV@90.0) PTT(BUY:FV@49.5)
หุ้นเข้า-ออก ดัชนี SET50, SET100 รอบ 1H65 ชอบ TIDLOR BANPU
ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณาเกณฑ์สภาพคล่อง โดยไม่นำ ช่วงเดือนที่หุ้นมีการติด Cash Balance เข้ามาคำนวณด้วยเป็นครั้งแรก ถือเป็นเกณฑ์ ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยสรุปผลลัพธ์ หุ้นที่มีเข้า – ออกในดัชนี SET50 3 คู่ และ SET100 10 คู่ ในรอบ 1H65 ซึ่งรายชื่อส่วนใหญ่เป็นรายชื่อเดียวกับที่ฝ่ายวิจัยฯ คาดการณ์ไว้ ก่อนหน้านี้ถูกต้องเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะหุ้นเข้า SET50 ถูกต้อง 100%
โดยผลตอบแทนในอดีตย้อนหลัง 15 ปีของหุ้นที่ถูกคัดเข้า และถอดออกจากดัชนี SET50, SET100 พบว่า ราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นตอบรับในเชิงบวกล่วงหน้าก่อนวัน บังคับใช้เสมอ โดยเฉพาะหุ้นที่ถูกเข้าคำนวณใน SET50 มักจะ Outperform ตลาดฯ มาก โดยช่วง 2 สัปดาห์ก่อนวันบังคับใช้ (วันเข้าคำนวณ ใช้ราคาปิดวันที่ 30 ธ.ค. 2564) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 2.8% และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวก 66% หลังจากนั้นราคาหุ้นจะค่อยๆปรับตัวลดลงหลังมีผลบังคับใช้โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนให้ความสำคัญกับประเด็น Index Play มี หลายหุ้นปรับตัวขึ้นได้แรงกว่าค่าเฉลี่ย อาทิ JMART, SYNEX, SAWAD, NRF, KCE
เพิ่มขึ้น 11.8% 8.1% 7.9% 7.8% 6.4% (ถูกคัดเข้าดัชนี SET รอบ1H21, รอบ2H21, รอบ2H19, รอบ2H21 ,รอบ2H21) กลยุทธ์เน้นเก็งกำไรหุ้นที่ถูกเข้าคำนวณ และขายทำกำไรก่อนวันบังคับใช้ (ยามที่ ราคาหุ้นย่อตัว) อย่าง TIDLOR BANPU
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities