ในขณะที่กำลังเขียนบทความชิ้นนี้อยู่ ราคาน้ำมันดิบ WTI ได้ปรับตัวลดลงเป็นวันที่สองติดต่อกัน คิดเป็นขาลงมากกว่า 1% ลงไปวิ่งต่ำกว่าระดับแนวรับจิตวิทยา $70 ต่อบาร์เรล สรุปแล้วทั้งสัปดาห์คิดเป็นการปรับลดลงมาแล้วเกือบ 3% อย่างไรก็ตาม หลังจากผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ได้ข้อสรุปว่าจะเพิ่มวงเงินการลด QE ลงจาก $15,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนเป็น $30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวกลับขึ้นมายืนเหนือ $71 ต่อบาร์เรลได้อีกครั้ง
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนยังคงเป็นปัจจัยหลักกดดันราคาน้ำมันดิบ ถึงแม้ว่าจะมีรายงานผลวิจัยบางแห่งระบุว่าความรุนแรงของโอมิครอนนั้นไม่มากเท่ากับสายพันธุ์ก่อนหน้าอย่างเดลตา แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ยังคงออกมาย้ำเตือนว่าอยู่ดูแคลนความสามารถของโอมิครอนต่ำเกินไป ด็อกเตอร์ซูซาน ฮอปกิ้น ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขระดับอาวุโสของอังกฤษได้ออกมาเตือนว่าความเร็วของการระบาดนี้อาจทำให้มียอดผู้ติดเชื้อในสหราชอาณาจักรเพิ่มชึ้นถึง 1 ล้านคนได้ภายในก่อนธันวาคมนี้ แรงกดดันที่กล่าวมาคือสาเหตุที่จะทำให้ความต้องการน้ำมันดิบลดลง
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค พฤติกรรมการวิ่งของราคาสอดคล้องกับคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ และปัจจัยพื้นฐานตามที่ได้รายงานไป
รูปนี้แสดงให้เห็นว่ากราฟน้ำมันดิบ WTI ได้สร้างรูปแบบธงลู่ขึ้น (Rising Flag) เสร็จแล้ว เฉพาะวันที่ 26 พฤศจิกายนวันเดียว ราคาน้ำมันดิบ WTI ได้ปรับตัวลดลงมาประมาณ 12% จากความกังวลของตลาดว่าโอมิครอนอาจทำให้ต้องกลับมาล็อกดาวน์กันใหม่อีกครั้ง โดยปกติแล้วรูปแบบธงลู่ขึ้นมักเกิดขึ้นไม่บ่อยหลังจากขาลงรุนแรง แต่ส่วนมากแล้วมักจะเกิดขึ้นหลังจากฝั่งขาลงปล่อยคำสั่งซื้อขายของตนเองออกไปแล้วมากกว่า
สิ่งที่น่าสนใจคือหลังจากหลุดกรอบธงลู่ขึ้นครั้งนี้ลงมาแล้ว ทิศทางของราคาจะเป็นเช่นไรต่อไป ผู้เชียวชาญด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคบางคนมองเห็นว่ามีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบจะขึ้นมาทดสอบระดับราคา $71.50 ได้ แต่ถึงจะทำเช่นนั้นได้ก็ยังไม่การันตีว่าจะกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถขึ้นมายืนเหนือ $73.30 ต่อบาร์เรล ในทางกลับกัน ถ้าราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อตามแนวโน้มเดิมครั้งนี้ ประกอบกับรูปแบบธงที่เป็นการส่งสัญญาณไปต่อในทิศทางเดิมอยู่แล้ว มีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบ WTI จะลงไปถึง $55 ต่อบาร์เรล
ยิ่งถ้าได้พิจารณากราฟในภาพรวม เราจะเห็นว่าราคากำลังสร้างรูปแบบบางอย่างที่อาจจะเป็นขาลงได้ในระยะยาว
เมื่อมองในภาพกว้าง เราจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบกำลังสร้างรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ส่วนของไหล่ซ้ายเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 สร้างส่วนหัวอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม และรูปแบบธงลู่ขึ้นล่าสุดคือความพยายามที่จะสร้างไหล่ขวา
แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะลงไปถึง $55 ต่อบาร์เรล แต่เส้น neckline ก็ยังถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของขาลงครั้งนี้ ณ ตรงนั้นราคาน้ำมันดิบอาจจะดีดตัวกลับขึ้นมาวิ่งอยู่ที่ระดับราคา $60 ต่อบาร์เรลก่อน แต่ถ้าหลุดเส้น neckline ลงไปได้ ก็จะเป็นการยืนยันการสร้างรูปแบบหัวไหล่โดยสมบูรณ์ สุดท้ายแล้วขาลงนี้อาจจะลากลงไปไกลได้มากที่สุดถึง $40 ต่อบาร์เรล แต่สำหรับตอนนี้ ต้องรอดูท่าทีของราคาว่าแนวรับ $70 ต่อบาร์เรลจะสามารถพยุงขาขึ้นครั้งนี้เอาไว้ได้หรือไม่
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าขาขึ้นวิ่งกลับไปทดสอบจุดสูงสุดของรูปแบบธง ก่อนที่จะวางคำสั่งขาย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอเช่นเดียวกับกลุ่มที่ไม่ชอบความเสี่ยง แต่เมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุดของรูปแบบธง จะวางคำสั่งขายทันที ไม่รอแท่งเทียนยืนยันการกลับเป็นขาลง
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งขายทันทีตอนนี้ ซึ่งหมายความว่านักลงทุนกลุ่มนี้เชื่อแน่นอนว่าราคาน้ำมันดิบจะต้องปรับตัวลดลงต่ำกว่า $70 ต่อบาร์เรล
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $70
- Stop-Loss: $72
- ความเสี่ยง: $2
- เป้าหมายในการทำกำไร:$64
- ผลตอบแทน: $6
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3