ตลอดช่วงชีวิตการทำงานในฐานะนักลงทุนมาตลอด 40 ปี ผมต้องยอมรับว่าไม่เคยเห็นตลาดลงทุนไหนที่ขึ้นเร็วและลงแรงอย่างเช่นตลาดสกุลเงินดิจิทัลมาก่อน คงไม่มีตลาดแห่งไหนในโลกอีกแล้วที่ใช้เวลาเพียง 12 ปี สามารถทำให้สกุลเงินหนึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเพียงไม่กี่เซนต์กลายเป็น $60,000 ได้
ไม่ว่าคุณจะมีความคิดเห็นอย่างไรกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล แต่ในยุคนี้ คุณจำเป็นจะต้องยอมรับว่ามีคนที่พร้อมที่จะกระโดดขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาขบวนนี้ ไม่ว่าจะหวาดเสียวแค่ไหน พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยง ถึงแม้ว่าบางโค้งอาจจะเป็นโค้งที่อันตรายเกินกว่าคุณจะรับได้ก็ตาม แต่สำหรับพวกเขาเหล่านั้นแล้ว สกุลเงินดิจิทัลเปรียบเสมือนโลกแห่งโอกาสของนักลงทุน และผู้ที่ชื่นชอบการเก็งกำไร
ในโลกที่เต็มไปด้วยสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 15,550 สกุลเงินนั้นมีความเสี่ยงอยู่มากมาย ชนิดที่ว่าได้เงินมาเช้านี้ เงินทั้งหมดนั้นหากเอามาลงทุนคริปโตฯ อาจจะหายไปหมดเลยก็ได้ นั่นจึงทำให้มีสกุลเงินดิจิทัลเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์มากกว่า $100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในบรรดาสกุลเงินเหล่านั้นมีสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดอยู่คือบิทคอยน์และอีเธอเรียม ถึงกระนั้นทั้งสองสกุลเงินก็มีจุดประสงค์ในการเกิดมาที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ในบทความนี้เราจะพาไปดูสามสาเหตุว่าทำไมโลกของสกุลเงินดิจิทัลหลังจากที่ 21 ล้านเหรียญของบิทคอยน์หมดลง จะต้องเป็นยุคของอีเธอเรียมอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพรวมของบิทคอยน์และอีเธอเรียมในปัจจุบัน
ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ทั้งบิทคอยน์และอีเธอเรียมสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้ทั้งคู่
ที่มา: CQG
กราฟรายสัปดาห์รูปนี้แสดงช่วงเวลาที่กราฟ บิทคอยน์ล่วงหน้าขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $69,355
ที่มา: CQG
นี่เป็นกราฟรายวันของบิทตคอยน์ที่แสดงการเริ่มกลับตัวเป็นขาลงมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน หลังจากสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไป วันถัดมาบิทคอยน์ก็ได้มีราคาปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของวันก่อนหน้า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของขาลง 32.7% ทำให้บิทคอยน์สร้างจุดต่ำสุดในวันที่ 13 ธันวาคมเอาไว้ที่ $46,650
ที่มา: CQG
รูปนี้คือกราฟรายสัปดาห์ของอีเธอเรียมล่วงหน้าที่แสดงจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $4,902.75 ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน
ที่มา: CQG
กราฟรายวันรูปนี้ของอีเธอเรียมแสดงให้เห็นช่วงเวลาที่เริ่มเปลี่ยนเทรนด์เป็นขาลงในวันที่ 10 พฤศจิกายน จากจุดเริ่มต้นในวันนั้นได้ส่งอีเธอเรียมลงมายังจุดต่ำสุดที่ $3,749.50 ในวันที่ 13 ธันวาคม คิดเป็นการปรับตัวลดลงมาทั้งหมด 23.5% ถึงแม้ว่าขาลงของอีเธอเรียมจะไม่ชัดเจนเท่าบิทคอยน์ แต่จุดนี้ก็เป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่ามีคนรอช้อนซื้ออีเธอเรียมอยู่ตลอดแม้จะลงมาไม่มากก็ตาม
ปี 2021 คือปีทองของอีเธอเรียม หาใช่บิทคอยน์ไม่
ก่อนอื่นต้องขอชมว่าถึงแม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วตลาดสกุลเงินดิจิทัลจะปรับตัวลดลงอย่างหนัก แต่บิทคอยน์และอีเธอเรียมในปีนี้ก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างดี
ทีมา: Barchart
กราฟด้านบนนี้คือกราฟเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสกุลเงินบิทคอยน์และดอลลาร์สหรัฐ ที่จบปี 2020 ด้วยจุดสูงสุดใหม่ ณ $28,986.74 จากวันนั้นจนถึงวันที่ 13 ธันวาคม ที่บิทคอยน์มูลค่า $47,367.01 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมด 63.4%
ที่มา: Barchart
เทียบกันกับอีเธอเรียมที่มีจุดปิดในปี 2020 อยู่ที่ $738.912 มาจนถึงวันที่ 13 ธันวาคมที่ $3,820.425 มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียมเพิ่มขึ้นมากกว่าห้าเท่า
จากข้อมูลทางสถิตินี้ทำให้เราเห็นได้ว่าปีนี้ต้องยกให้เป็นปีทองของอีเธอเรียมจริงๆ แล้วทำไมทั้งๆ ที่อีเธอเรียมก็ได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบไม่ต่างจากบิทคอยน์ แต่กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้มากกว่าบิทคอยน์หลายเท่าตัว ในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่าความแตกต่างสามข้อระหว่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมที่ทำให้อีเธอเรียมโดดเด่นกว่านั้นมีอะไรบ้าง
เหตุผลประการที่ 1: จุดประสงค์ที่เกิดมาต่างกัน
เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าบิทคอยน์คือพ่อของทุกสถาบันคริปโตจริงๆ ถ้าหากไม่มีบิทคอยน์และบล็อกเชนที่สร้างจากมือซาโตชิ นากาโมโต้ในปี 2009 เราคงไม่มีวันได้เห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดเมต้าเวิร์สในวันนี้ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2009 คนสร้างบิทคอยน์ยังคิดสร้างบิทคอยน์ออกมาเป็นเพียงตัวกลางการแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์เท่านั้น ในขณะที่อีเธอเรียมเกิดมาเพื่อเป็นบ้านให้กับสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
อีเธอร์เป็นสกุลเงินที่ถูกใช้อยู่บนบล็อกเชนของอีเธอเรียม ในขณะที่บิทคอยน์ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยน (อันที่จริงต้องกลายเป็นที่เก็บสะสมมูลค่าไปแล้ว) แต่อีเธอเรียมกลับเติบโตในฐานะพื้นที่สร้างสรรค์ของสกุลเงินดิจิทัลมากมาย มีสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังในยุคนี้ไม่น้อยที่ดำเนินการอยู่บนบล็อกเชนของอีเธอเรียม ที่สำคัญการแลกเปลี่ยนเหรียญบนบล็อกเชนของอีเธอเรียมยังทำได้เร็วกว่าบิทคอยน์อีกด้วย
เหตุผลประการที่ 2: การใช้พลังงานในการขุดเหรียญ
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประมวลโจทย์ทางคณิตศาสตร์และให้ได้มาซึ่งเหรียญดิจิทัล หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “การขุดเหมือง” นั้นเป็นกลไกสำคัญของระบบนิเวศน์ในสกุลเงินดิจิทัล ทุกคนต่างทราบดีว่ากระบวนการนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ค่อนข้างสูง ในปัจจุบันว่ากันว่าเหมืองบิทคอยน์ทั้งโลกรวมกันสามารถแทนกำลังไฟฟ้าของประเทศเล็กๆ บางแห่งในโลกได้แล้ว
โมเดลในการได้มาซึ่งสกุลเงินดิจิทัลของบิทคอยน์และอีเธอเรียมนั้นไม่เหมือนกัน บิทคอยน์ใช้สิ่งที่เรียกว่า “Proof of Work (PoW) ” ในการได้มาซึ่งเหรียญบิทคอยน์ นั่นคือการเอาคอมพิวเตอร์มาแข่งกันคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์ นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมยิ่งประมวลผลแรง ก็ยิ่งมีโอกาสได้เหรียญเร็ว ต่างกันกับอีเธอเรียมที่ใช้ “Proof of Stake (PoS)” ในการได้มาซึ่งเหรียญอีเธอร์ PoS คือ ระบบ Algorithm ที่เปิดให้คนเข้ามาช่วยไขรหัสตรวจสอบธุรกรรม แต่จะไม่ใช่การแข่งขันให้ทุกคนได้เข้ามาตรวจอย่าง PoW เพราะผู้ตรวจสอบแบบ PoS จะต้องวางเงินดิจิทัลบางส่วนไว้เป็นประกัน จึงจะได้สิทธิในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม
ที่สำคัญ เมื่อนำคอมพิวเตอร์ที่มีการประมวลผลสูงมาลองขุดทั้งบิทคอยน์และอีเธอเรียม เราพบว่ากำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการขุดบิทคอยน์มีสูงถึง 707 kWh ในขณะที่อีเธอเรียมมี 62.56 kWh เท่านั้น
เหตุผลประการที่ 3: บิทคอยน์ไม่มีลูกมีหลาน แต่อีเธอเรียมมีการต่อยอดมากมาย
ถึงแม้ว่าบิทคอยน์จะเป็นผู้เริ่มต้นทุกสิ่ง และปัจจุบันก็ยังมีมูลค่าหลักทรัพย์มากกว่าอีเธอเรียม ($900,000 ล้านเหรียญเทียบกับ $456,000 ล้านเหรียญ) แต่ในปี 2021 หากวัดในเชิงของการเติบโตแล้ว มูลค่าการเติบโตของอีเธอเรียมถือว่าสูงกว่าบิทคอยน์แล้ว
นอกจากนี้สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในทุกวันนี้ต่างก็มีปฏสัมพันธ์อันดีและเห็นอีเธอเรียมเป็นต้นแบบไม่ว่าจะเป็น Litecoin (LTC), Cardano (ADA), Polkadot (DOT), Bitcoin Cash (BCH), Stellar (XLM), Dogecoin (DOGE), Binance Coin (BNB)
ด้วยการเติบโตของวงการสกุลเงินดิจิทัลที่ปัจจุบันไม่ได้มีแค่เป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนอีกต่อไปแล้ว ประกอบกับอัลกอริทึ่มในการได้มาซึ่งเหรียญอีเธอที่เร็วกว่า ประหยัดกว่า และมีโอกาสพัฒนาได้ง่ายกว่าบิทคอยน์ ผมจึงเชื่อว่าในอนาคตอีเธอเรียมจะต้องก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ไม่ต่างจากบิทคอยน์ในวันนี้ได้อย่างแน่นอน