Top Pick เลือก AOT, BH และ KBANK ภาพการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงยังปรากฎให้เห็นต่อเนื่อง ทั้งนี้ แรงจูงใจสำคัญมาจากการคลายตัวของความกังวลในเรื่อง Omicron ทำให้ คาดหมายว่าจะเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ก็เห็นสัญญาณเชิงบวกจาก Fund Flow เช่นกัน เริ่มจากเงินบาที่กลับมาแข็ง ค่าอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นกลไกที่เอื้อต่อการไหลเข้าของเม็ดเงิน ขณะที่เห็นการ กลับมาเปิด Long ใน Future นอกจานี้ยังมีแรงเสริมจากการปรับตัวขึ้นของ ราคา Commodity ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของตลาดหุ้นไทย ประเด็นที่ ติดตามวันนี้เป็นการประชุม ศบค. ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเห็นท่าทีการผ่อนคลาย ต่อเนื่อง ส่วนสัปดาห์หน้าติดตามการประชุมธนาคารกลางหลายแห่ง คาด SET Index ยับมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ และยืนเหนือ 1614 จุด พอร์ต จำลองวันนี้ไม่มีปรับเปลี่ยน โดยน้ำหนักส่วนใหญ่กลับมาที่หุ้นเปิดเมืองอีกครั้ง หุ้น Top Pick เลือก AOT, BH และ KBANK
ความกังวล Omicron ผ่อนคลายต่อเนื่อง หนุน Flow ไปสินทรัพย์เสี่ยงต่อ
สินทรัพย์ปลอดภัยโลกถูกขายทำกำไร (Take Profit) ต่อเนื่อง สะท้อนได้จาก Bond Yield สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Bond Yield อายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.48% เป็น 1.52%, Bond Yield 5 ปี จาก 1.26% เพิ่มเป็น 1.27%, Bond Yield 1 ปี แม้วานนี้ พักตัวเล็กน้อย แต่ยังทรงตัวในระดับสูงที่ 0.27% (Bond Yield กับราคา Bond จะแปร ผันในทิศตรงข้ามกัน) ขณะที่ Dollar Index วานนี้ อ่อนค่าแรง 0.43% ลงไปต่ำกว่า ระดับ 96 จุด ส่วนเงินบาทแข็งค่าต่ออีก 0.63% กลับมาต่ำกว่าระดับ 33.50 บาท/ ดอลลาร์ ดีต่อหุ้น Market Cap. ขนาดใหญ่ และหนุน Flow ไหลเข้าไทย ปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะ Bond Yield มาจาก ความกังวล COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ผ่อนคลาย: ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อ COVID19สายพันธุ์ Omicron แล้วใน 57 ประเทศทั่วโลก แต่ก็ยังไม่พบผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์ Omicron แต่อย่างใด ประกอบกับรายงานของบริษัทผลิตวัคซีน Pfizer ระบุว่า สูตรฉีด วัคซีน Pfizer จำนวน 3 เข็ม สามารถต้านทานสายพันธุ์Omicron ได้โดยภูมิคุ้มกันหลัง ได้รับเข็ม 3 จะเพิ่มขึ้น 25 เท่า ASPS ประเมินรายงานล่าสุดของ Pfizer เป็นสัญญาณที่ ดี เพราะช่วยลดความกังวลก่อนหน้าที่ว่าสายพันธุ์ Omicron อาจลดประสิทธิภาพของ วัคซีนลงไปได้ และยังมีแนวโน้มช่วยกระตุ้นให้บริษัทวัคซีนเร่งเดินหน้ากระจายวัคซีนใน วงกว้างมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นประเด็นช่วยหนุนสินทรัพย์เสี่ยง
ตลาดเริ่มกลับมาให้น้ำหนักกับการดำเนินนโยบายของ Fed: ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะประชุมในวันที่ 14-15 ธ.ค. 2564 (ทราบราวกลางดึกของวันที่ 15 ธ.ค. ตามเวลา ไทย) ในการประชุมครั้งนี้ ประธาน Fed ระบุว่า Fed อาจพิจารณาลดวงเงิน QE (QE Tapering) เร็วกว่าเดิม ซึ่งตลาดคาด Fed จะเร่งทำ QE Tapering เพิ่มเป็นเดือนละ 3 หมื่นล้านเหรียญ จากเดิมเดือนละ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ส่งผลให้มาตรการ QE จะ สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2565 (กราฟเส้นสีส้ม) จากเดิมสิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 2564 (กราฟเส้น สีเขียว) โดยการส่งสัญญาณ QE Tapering ที่เร็วกว่าคาด ส่งผลให้Bond Yield สหรัฐ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ Fed ส่งสัญญาณผ่าน Dot plot ในการ ประชุมเดือน ก.ย. 2564 ว่า ปี 2565 จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 1 ครั้ง แต่ หากพิจารณาตลาดการเงินกลับพบตลาดการเงินคาดว่า Fed มีโอกาสขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งได้ สะท้อนจากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย Fed ของ Bloomberg ที่พบว่าตลาดคาดปี 2565 Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง สอดคล้องกับ Bond Yield อายุ 1 ปีของสหรัฐที่ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 0.27% ซึ่งสูงกว่ากรอบบนของอัตราดอกเบี้ย Fed ปัจจุบันที่ 0-0.25% สะท้อนตลาดมองว่า Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นในปี 2565 โดย ASPS ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่จะกลับเป็นขาขึ้นเร็วขึ้น และ Bond Yield โลกที่ฟื้นตัว เป็น Sentiment บอกต่อหุ้นกลุ่มประกัน (BLA) และ ธนาคารพาณิชย์ (KBANK, SCB, BBL)
โดยสรุป ปัจจัยหนุนต่างๆข้างต้นส่งผลให้ Fund Flow ไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย และกลับเข้าไปหาสินทรัพย์เสี่ยงได้ต่อ เช่นตลาดหุ้นโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์และ เชื่อว่าวันนี้ตลาดหุ้นไทยจะได้Sentiment เชิงบวกตาม
Omicron ยังไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน ยังมองเชิงบวกต่อ SET index
ในประเทศ เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของ SET index ยังคงติดตามพัฒนาการเรื่องเดิม โดย ยังเห็นสัญญาณเชิงบวก (+) คือ
-
สถานการณ์ Covid รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ เช้านี้ล่าสุดเพิ่มขึ้น 4.2 พันราย ยังต่ำกว่า 5 พันรายติดต่อกัน 11 วัน บ่งชี้ได้ว่าไทยยังควบคุมการติดเชื้อได้ดี ส่วนสานพันธุ์ omicron นับตั้งแต่ WHO ประกาศสายพันธ์ที่ต้องติดตาม เมื่อ วานพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์Omicron เพิ่มอีก 2 ราย โดยทั้ง 2 เดินทางมาจาก ประเทศไนจีเรีย โดยแต่ปัจจุบันหายดีแล้ว (ตรวจสอบย้อนหลัง)
-
ความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน Covid มีความคืบหน้าต่อเนื่อง ล่าสุดใน ไทยฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้วราว 68.6%ของประชากรทั้งประเทศ และเข็ม 2 ราว 60%
-
ท่าทีของรัฐบาลในการป้องกัน Covid ดูเหมือนว่าจะไม่คุมเข้มงวด หรือ ห่างไกลการกลับมา Lockdown แบบเข้มงวดที่เกิดขึ้นในปีนี้ ยังเดินหน้าผ่อน คลายกิจกรรมเศรษฐกิจหรือเปิดเมืองต่อเนื่อง แต่มุ่งเน้นไปที่การเข้มงวด การ คัดกรองคนเข้าประเทศผ่านพรมแดน โดย ASPS ให้น้ำหนักไปวันจันทร์ที่ 13 ธ.ค. ศบค.จะจัดประชุมแนวทางการคุม Omicron และ อาจจะผ่อนคลาย กิจกรรมเศรษฐกิจเพิ่มเติม
โดยรวมประเมินแม้ประเด็น Covid จะยังมีผลต่อ Sentiment ต่อ SET Index แต่ ในทาง ปัจจัยพื้นฐานของไทย คาดยังไม่เห็นการเปิด Downside ในการปรับลด ประมาณการเศรษฐกิจและกำไร บจ. ในปี 2564-65 (ภายใต้สมมติฐานการแพร่ระบาด โควิดไม่รุนแรง และวัคซีนที่มีอยู่ไม่มีประสิทธิภาพป้องกัน) โดยรวมปัจจุบันคาด Impact จากโควิดจำกัด ถือเป็นบวกต่อ SET Index เห็นได้จาก เศรษฐกิจไทย : Consensus ยังคงคาดการณ์ GDP ปี 2564-65 ที่เดิมคือ 1% และ 4% (VS. ASPS คาด 0.9% และ 3.5% ตามลำดับ) สอดคล้องกับ ล่าสุด เมื่อวาน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงคาดการณ์ที่เดิม ตามรูป กำไร บจ. : ASPS คาดกำไรปี 2565 มีอยู่ที่ 9.4 ล้านล้านบาท ทำให้ EPS65F อยุ่ที่ 81.8 บาท/หุ้น เติบโต 11%yoy
Fund flow มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้น ชอบ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (BK:BH), ท่าอากาศยานไทย จำกัด (BK:AOT), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (BK:KBANK)
ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวแรงในช่วง 2 วันที่ผ่านมากว่า 60 จุด ส่วนหนึ่งได้แรงผลักดันจาก เม็ดเงินของสถาบันในประเทศที่ 2 วันซื้อสุทธิกว่า 5.3 พันล้านบาท ขณะที่ต่างชาติแม้ วานนี้ขายสุทธิ แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากสัญญา Futures ที่ซื้อสุทธิกว่า 2 หมื่น สัญญา บวกกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าในช่วงสั้น (หลังหลุดเส้น EMA 10 วัน
ขณะที่กิจกกรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว สังเกตได้จากค่า Google (NASDAQ:GOOGL) Mobility Trend ทะลุแนวต้านย่อยเป็นที่เรียบร้อย และเข้าสู่ระดับเดียวกับจุดสูงสุดในช่วงก่อน หน้าที่ระดับ 10% บวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียน 4Q64 ที่มีโอกาสฟื้นตัวต่อจากไตร มาสก่อนหน้า จากที่ไตรมาส 3 โดนผลกระทบ Lockdown เกือบ 2 เดือน บวกกับ สมมุติฐานการระบาด COVID Omicron รอบนี้ไม่รุนแรง และไม่มีการหยุดกิจกรรม ทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งหมดที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยสะท้อนปัจจัยลบมาในระดับหนึ่ง แล้วบวกกับคาดมีแรงหนุนจากเม็ดเงินทั้งนอกและในประเทศเป็นตัวพยุงตลาดฯ ในช่วงสั้น กลยุทธ์ แนะนำสะสมหุ้นเปิดเมืองพื้นฐานดีที่ปรับฐานลงมาลึก AOT, BH, KBANK, เป็น Top pick ในวันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities