ความกังวลที่มีต่อภาวะเงินเฟ้อ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิดในยุโรปได้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดความผันผวนอีกครั้งในวันสุดท้ายของสัปดาห์ก่อน จนส่งผลให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500ปิดบวกตลอดทั้งสัปดาห์ได้เพียง 0.3% ดัชนี{{169|ดาวโจนส์}ปิดติดลบ 1.3% ส่วนแนสแด็ก 100สามารถปิดบวกได้ 1.2%
ความกังวลของตลาดลงทุนเริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากได้ข่าวว่าประเทศออสเตรียประกาศแผนล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ตามมาด้วยแผนบังคับให้ประชาชนทุกคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนต้องฉีดวัคซีน การบังคับนี้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่เชื่อในหลักสิทธิเสรีภาพ และก่อให้เกิดการประท้วงขึ้นในบางพื้นที่ของยุโรป
นั่นจึงทำให้ตลาดลงทุนฝั่งสหรัฐฯ เริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่โควิดอาจจะกลับมาระบาดอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวนี้ และเช่นเคย ที่เราจะต้องมีบทความแนะนำหุ้นสามตัวที่น่าสนใจที่สุดประจำสัปดาห์มาให้ติดตามกัน
1. Zoom Video
บริษัทผู้พลิกโฉมการสื่อสารผ่านวิดีโอออนไลน์ในช่วงโควิดที่ผ่านมานามว่าซูม (NASDAQ:ZM) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันนี้ หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าซูมจะสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรได้ $1,020 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.09
สถานการณ์ของซูมน่าเป็นห่วงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการสื่อสารผ่านวิดีโอออนไลน์ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป และแพลตฟอร์มชื่อดังหลายแห่งก็มีฟังก์ชันนี้เป็นของตัวเองแล้ว เมื่อเทียบกับปี 2020 ที่หุ้นของซูมเคยเติบโตมากถึง 369% แต่ในปีนี้กลับปรับตัวลดลงมากกว่า 25% มีราคาซื้อขายหุ้นล่าสุดอยู่ที่ $251.30 และตัวเลขคาดการณ์ยอดขายในเดือนสิงหาคมนั้นไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้
ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2021 หุ้นของซูมปรับตัวขึ้นได้ 121% และในไตรมาสที่ 2 นี่เองที่การเติบโตหดตัวลดลงไปมากกว่าครั้งเหลือ 54% สำหรับไตรมาสนี้ ซูมคาดการณ์ว่ายอดขายอาจเติบโตได้เพียง 15% เท่านั้น
2. Best Buy
บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ และแคนาดา ผู้จำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกซ์และเทคโนโลยีนามว่า “เบสท์บาย” (NYSE:BBY) จะรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าเบสท์บายจะสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรได้ $11,620 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.94
เพราะรายงานผลประกอบการของบริษัทเพื่อนๆ ในกลุ่มค้าปลีกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้เป็นส่วนใหญ่ ตลาดลงทุนจึงเชื่อว่ารายงานผลประกอบการของเบสท์บายก็น่าจะออกมาดีตามเพื่อนบริษัทอื่น ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา หุ้นเบสท์บายปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 24% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $136.13
การมาของโควิดทำให้โลกก้าวเข้าสู่ระบบ e-commerce เร็วยิ่งขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเบสท์บายที่ได้พัฒนาระบบออนไลน์รองรับเอาไว้ก่อนแล้ว นั่นจึงทำให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทเติบโตขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง และถึงแม้ว่าตอนนี้ผลกระทบจากวิกฤตจะเบาขางลง แต่เบสท์บายก็ยังสามารถทำกำไรได้จากลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าจากหน้าร้านโดยตรง
3. Dell Technologies
บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กชื่อดังนามว่าเดลล์ (NYSE:DELL) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 ในวันเวลาเดียวกันกับเบสท์บาย นักวิเคราะห์คาดว่าเดลล์จะสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรได้ $27,370 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.30
ด้วยความที่เดลล์เป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยอดขายของพวกเขาจะเติบโตในช่วงโควิด เพราะความต้องการคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะแบบตั้งโต๊ะหรือโน๊ตบุ๊ก เพื่อทำงานแบบ work-from-home แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับสูญเสียรายได้จากลูกค้าในระดับองค์กร ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด
ไมเคิล เดลล์ CEO ของบริษัทกำลังพยายามที่จะเปลี่ยนรูปแบบการทำรายได้ของบริษัท จากเดิมที่เน้นขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ตอนนี้เดลล์ต้องการขายบริการซอฟต์แวร์ แล้วให้ลูกค้ามาสมัครสมาชิก ตอนนี้กำไรครึ่งหนึ่งของเดลล์มาจากยอดซื้อคอมพิวเตอร์พีซี
ตลอดทั้งปี 2021 หุ้นของเดลล์ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมด 48% มีราคาปิดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $55.02 ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เดลล์พึ่งเสร็จกระบวนการแยกบริษัททำซอฟต์แวร์ออกไป ซึ่งบริษัทนั้นมีชื่อว่าวีเอ็มแวร์ (NYSE:VMW) การแยกวีเอ็มแวร์ออกมา ทำให้เดลล์สามารถยกงานผลิตซอฟต์แวร์ให้กับวีเอ็มแวร์ได้ง่ายขึ้น และในอีกทางหนึ่ง นี่คือวิธีการชำระหนี้ที่รวดเร็วกว่าเดิม