รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

2 ETF หุ้นขนาดเล็กน่าลงทุนเมื่อเฟดคงนโยบายการเงินเอาไว้ดังเดิม

เผยแพร่ 09/11/2564 13:53
อัพเดท 02/09/2563 13:05

ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ข้อสรุปว่าพวกเขาจะยังคงนโยบายการเงินเอาไว้ดังเดิม แต่จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยที่เฟดจะลดวงเงิน QE เดือนละ $15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งออกเป็นลดวงเงินการซื้อพันธบัตรรัฐบาล $10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) $5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ย้ำว่าพวกเขาไม่มีความคิดที่จะรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย และยังคงเชื่อว่าเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ที่เกิดจากซัพพลายเชนขาดแคลน มากกว่านโยบายการเงินของพวกเขา เป้าหมายของธนาคารกลางฯ ยังคงเหมือนเดิม คือต้องการผ่อนคลายนโยบายการเงินไปเรื่อยๆ จนกว่าการจ้างงานฯ จะจะกลับมาเต็มกำลัง และเงินเฟ้อมีตัวเลขอยู่ที่ 2% ในระยะยาว

การตัดสินใจของเฟดทำให้ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ดัชนีหลักของสหรัฐฯ ต่างพากันทำสถิติใหม่อย่างไม่เกรงกลัวการดึงสภาพคล่องออก แม้แต่ดัชนีสำหรับบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ของสหรัฐฯ อย่างรัสเซล 2000 ก็ยังสามารถขยับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้เช่นกันRussell 2000 Weekly

นั่นจึงเป็นที่มาของบทความนี้ว่าเราจะพาไปดูกองทุน ETF ที่ลงทุนกับบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็กโดยเฉพาะ มีงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้เปิดเผยว่า การที่บริษัทขนาดเล็กเติบโต สะท้อนภาพความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจได้ดีไม่แพ้บริษัทขนาดใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่าคนชนชั้นกลางสามารถลืมตาอ้าปากได้ อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่เร็วกว่า มักจะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่มากกว่าเสมอ โปรดใช้วิจารณญาณก่อนตัดสินใจลงทุน

1. iShares Russell 2000 Growth ETF

- ระดับราคาปัจจุบัน: $325.73
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $240.23 - $339.91
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.29%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.24% ต่อปี

กองทุน ETF ตัวแรกสำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็กคือ iShares Russell 2000 Growth ETF (NYSE:IWO) กองทุนนี้จะเน้นไปที่บริษัทเอกชนในสหรัฐอเมริกา ที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็ก แต่กำไรที่ได้สามารถเติบโตได้เหนือกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มบริษัทขนาดเล็กด้วยกัน IWO Weekly

IWO วิ่งตามกองทุนที่มีชื่อว่า Russell 2000 Growth Index ปัจจุบันถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 1,222 ตัว เริ่มต้นเปิดให้ทำการซื้อขายในเดือนกรกฎาคมปี 2000 มีมูลค่าสินทรัพย์รวมแล้วอยู่ประมาณ $12,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน IWO ถือครองหุ้นโดยแบ่งเป็นสัดส่วนในกลุ่มเฮลท์แคร์ 28.21% ตามมาด้วยกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อข้อมูลข่าวสาร (22.52%) กลุ่มอุตสาหกรรม (14.52%) และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (14.37%)

หุ้นสิบอันดับแรกของ IWO คิดเป็น 5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด อาทิเช่น Crocs (NASDAQ:CROX) Lattice Seminconductor (OTC:LTTC) Tetra Tech (NASDAQ:TTEK) Intellia Therapeutics (NASDAQ:NTLA) และ Saia (NASDAQ:SAIA)

ตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน IWO ให้ผลตอบแทนคืนแก่นักลงทุนมาแล้ว 13.6% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมามากกว่า 15% อย่างไรก็ตาม ขาขึ้นระลอกใหม่เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม กองทุนสามารถกลับมีมีราคาปิดเพิ่มขึ้นจากเดิม 10%  

ปัจจุบัน IWO มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 36.84x และ 6.09x ตามลำดับ แต่หากต้องการรอซื้อกองทุนตัวนี้ ควรรอให้ราคาวิ่งลงมายัง $315 ก่อนจึงจะได้ราคาที่เหมาะสมกว่า 

2. Pacer US Small Cap Cash Cows 100 ETF

- ระดับราคาปัจจุบัน: $46.91
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $26.55 - $47.15
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.48%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.59% ต่อปี

หนึ่งในมาตรวัดที่นักวิเคราะห์นิยมใช้ในการประเมินความสามารถทางการเงินคือเงินสดที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่าย (FCF) ก็คือกระแสเงินสดของบริษัทหลังจากหักดอกเบี้ย ภาษี ต้นทุน ฯลฯ ไปเรียบร้อยแล้ว FCF จะสามารถบอกกับนักวิเคราะห์ได้ว่าในแต่ละไตรมาส หรือแต่ละปี บริษัทเหล่านี้จะมีสภาพคล่องเหลือพอที่จะเอาไปต่อยอดได้มากน้อยแค่ไหน เพราะนั่นหมายถึงความเป็นไปได้ในการเติบโตของบริษัทในอนาคต

นั่นจึงเป็นที่มาของกองทุนที่สองที่มีชื่อว่า Pacer US Small Cap Cash Cows 100 ETF (NYSE:CALF) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทขนาดเล็กชื่อดังมากกว่า 100 ตัว บริษัทเหล่านี้มีถูกสังกัดอยู่ในดัชนี S&P SmallCap 600® index ซึ่งเป็นดัชนีที่เน้นวัดผลด้วย FCF เป็นหลัก

CALF Weekly

CALF เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2017 หุ้นสิบอันดับแรกของบริษัทคิดเป็น 22% ของสินทรัพยทั้งหมดที่ $556.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นสามกลุ่มที่ CALF นิยมถือได้แก่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 49.6% กลุ่มอุตสาหกรรม 13.3% กลุ่มเฮลท์แคร์ 8.2% และกลุ่มพลังงาน 7.8% 

หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Macy’s (NYSE:M) Meredith (NYSE:MDP) Signet Jewelers (NYSE:SIG) PDC Energy (NASDAQ:PDCE)และ Group 1 Automotive (NYSE:GPI)

ในปีที่แล้ว CALF สามารถมอบผลตอบแทนคืนแก่นักลงทุนได้ 73.7% แต่สำหรับปีนี้ยังสามารถทำได้เพียง 50.3% อยู่ CALF สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบปีหลังจากทำจุดต่ำสุดใหม่เมื่อวันที่ 6 พฤศจิากยนปี 2020 นักลงทุนที่สนใจ CALF ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงไปยัง $44 ก่อนจึงจะได้จุดเข้าที่ดีกว่าในปัจจุบัน

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย