รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

SET มีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น

เผยแพร่ 02/11/2564 09:34
อัพเดท 09/07/2566 17:32

Investment Ideas:

ภาพรวมการลงทุน - เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,630 จุด เราคาดว่า SET มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวระยะสั้น หลังปรับลดสร้างฐานใกล้ระดับแนวรับที่ 1,615 - 1,600 จุด โดยเรายังให้ น้ําหนักหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากกําลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวจากการเปิดเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เราแนะนํา CBG CPALL (BK:CPALL) BJC AMATA WHA AOT (BK:AOT) BAFS AAV BEM และ ERW รวมไปถึงหุ้นที่ถูกคาดหมายแนวโน้มผลประกอบการ 4Q64 เติบโต แข็งแกร่ง เราเลือก SPALI FSMART PACO FORTH และ APURE รวมไปถึงเก็งกําไรระยะสั้นหุ้นในกลุ่ม Oil play ที่ได้ประโยชน์จากอุปทานที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างจํากัด เราเลือก PTTEP และ PTTGC ขณะที่ยังคง ต้องติดตาม การประชุม FOMC ของเฟด (2-3 พ.ย.) การประชุม BOE (4 พ.ย.) และการประชุม OPEC+ (4 พ.ย.) รวมไปถึงติดตามการรายงานผลประกอบการ 3Q64 ของไทย ราคาน้ํามันดิบปรับเพิ่ม หลัง OPEC รายงานการผลิตน้ํามันต่ํากว่าโควตา เรามองเป็นบวกเพียงระยะสั้น แนะเก็งกําไร เลือก PTTEP และ PTTGC - ราคาน้ำมันดิบตอบรับเชิงบวกต่อการที่ OPEC รายงานการผลิต น้ํามันดิบในเดือน ต.ค. ต่ํากว่าโควตาที่กําหนด โดย OPEC มีการผลิตน้ํามันดิบในเดือน ต.ค. อยู่ที่ 27.5 ล้าน บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 190,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดือน ก.ย. ซึ่งต่ํากว่าโควตาที่กําหนดไว้ โดยมติที่ประชุม OPEC+ เดือน ก.ย. กําหนดเพิ่มกําลังผลิต 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ต.ค. โดยกําหนดให้ชาติสมาชิกของ กลุ่ม OPEC จํานวน 10 ประเทศ เพิ่มการผลิตน้ํามันดิบ 254,000 บาร์เรล แต่รายงานล่าสุดระบุเพิ่มเพียง 190,000 บาร์เรลต่อวัน โดยมีเพียงซาอุดิอาระเบีย อิรัก คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแอลจีเรีย ได้ผลิต น้ํามันดิบเพิ่มขึ้นตามโควตาที่ได้รับ อย่างไรก็ตามเป็นที่สังเกตว่าในรายงานระบุการส่งออกน้ํามันดิบที่เพิ่มขึ้น จากอิหร่าน และเวเนซุเอลา แม้จะถูกคว่ําบาตรจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามเรามองประเด็นดังกล่าวเป็นเพียง ปัจจัยบวกระยะสั้น โดยเรามองว่า Seasonal Demand เป็นเพียงปัจจัยบวกเดียวที่สนับสนุนการปรับเพิ่ม ของราคาน้ํามันดิบ ขณะที่ราคาน้ํามันดิบจะเผชิญความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ด้านอุปทานที่เริ่ม คลี่คลาย จากการทยอยปรับเพิ่มกําลังผลิตน้ํามันของกลุ่ม OPEC (ติดตามการประชุม OPEC+ วันที่ 4 พ.ย.) รวมไปถึงกําลังผลิต non-OPEC ที่จะทยอยเพิ่มกําลังผลิต 1-3 ล้านบาร์เ รลต่อวันในปี 2565 ทําให้เราแนะนําเพียงเก็งกําไร เลือก PTTEP (ซื้อ., ราคาเป้าหมาย 140 บาท) และ PTTGC (ซื้อ., ราคาเป้าหมาย 76 บาท) ติดตามการประชุม FOMC (2-3 พ.ย.) เพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565 - ติดตามการประชุม FOMC ระหว่างวันที่ 2-3 พ.ย. มี 2 ประเด็นที่น่าติดตาม (1) แผนการปรับลด QE เราคาดว่าเฟดจะมีแผน ที่ชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับแผนการเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิง ปริมาณ (QE) โดยปริมาณการซื้อพันธบัตรและหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจํานองค้ําประกันปัจจุบันมีวงเงิน 1.2 แสนล้านเหรียญต่อเดือน (สิ้นสุด มิ.ย. 2565) และ (2) Dot plot เพื่อดูทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เราคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เราคาดไว้เดิม (เดิมคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 4Q65) และมีโอกาสปรับดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปี 2565 หลังรายงาน Core CPI ยังปรับเพิ่มในอัตราเร่ง โดย CPI และ Core CPI เดือน ก.ย. ปรับเพิ่ม 4.4%YoY และ 3.6%YoY โดยการส่งสัญญาณดังกล่าวอาจส่งผลกระทบ เชิงลบต่อภาพรวมการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ทําให้กลยุทธ์การลงทุนเรายังแนะนําเพียงเก็งกําไร ระยะสั้น และปรับลดน้ําหนักพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความผันผวนของ SET

• รายงานตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจ - ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. อยู่ที่ 58.4 จุด ต่ําสุดในรอบ 10 เดือน และลดลงจากเดือน ก.ย. ที่ 60.7 จุด โดยการปรับลดลงของดัชนี PMI มาจากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต ขณะที่คําสั่งซื้อใหม่ชะลอตัว และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ลดลง ต่ําสุดในรอบ 1 ปี เช่นเดียวกับดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. อยู่ที่ 60.8 จุด ลดลงจากเดือน ก.ย. ที่ 61.1 จุด แต่ยังสูงกว่า Market Consensus คาดไว้ที่ 60.5 จุด ดัชนี้ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ได้รับ ผลกระทบจากการปรับตัวลงของคําสั่งซื้อใหม่ ที่ทําจุดต่ําสุดในรอบ 16 เดือน แต่ทั้ง PMI ภาคการผลิต และดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น หลังจากประสบภาวะ หดตัวครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ในเดือน มิ.ย. จากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและแรงงาน อย่างไรก็ดี PMI ภาคการผลิต และดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 จุด ซึ่งเป็น สัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว มุมมองทางเทคนิค - เราคาดว่า SET Index วันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,630 จุด / หุ้น แนะนําปัจจัยทางเทคนิค: IP ROJNA และ CK

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย