ตลอดช่วงระยะเวลาสามปีหลังสุด บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่โบอิ้ง (NYSE:BA) ต้องเผชิญกับความยากลำบากมาโดยตลอดในการกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมา และจากรายงานผลประกอบการล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ก็ยังคงเป็นหลักฐานยืนยันว่าโบอิ้งยังต้องการเวลาอีกมากกว่าจะพาตัวเองออกจากพายุมรสุมทั้งหลายที่เข้ามารุมเร้า
ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการเครื่องบิน 737 MAX รองรับ แต่บริษัทโบอิ้งก็บอกกับนักลงทุนในรายงานผลประกอบการเมื่อวันพุธว่ากำไรรายไตรมาสยังไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ สาเหตุเป็นเพราะมีปัญหาด้านการผลิตกับเครื่องบินรุ่น 787 Dreamliner ความผิดหวังนี้เกิดขึ้นแม้ว่าโบอิ้งจะสามารถทำยอดขายในปีนี้ได้มากกว่าคู่แข่งอย่างบริษัทแอร์บัส (PA:AIR) (OTC:EADSY) ก็ตาม
รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ของบริษัทโบอิ้งได้ข้อสรุปว่าบริษัทสามารถปันผลกำไรต่อหุ้นได้ $0.60 ในขณะที่ตัวเลขกำไรรวมออกมาอยู่ที่ $15,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวเลขทั้งสองนี้ถือว่าน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ นี่คือความผิดหวังทั้งๆ ที่โบอิ้งมีการใช้เงินงบประมาณน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ และได้เงินคืนจากภาษี $1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
สาเหตุหลักที่ทำให้รายได้ในไตรมาสนี้ขึ้นไม่ถึงเป้าเป็นเพราะบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชย $185 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับบริษัทธุรกิจอวกาศนาม Starliner ต่อความล่าช้าในการส่งมอบสินค้า และยังต้องจ่ายเงินอีก $183 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับไลน์การผลิต 787 Dreamliner ที่ถูกโควิดดิสรัปไป โบอิ้งคาดว่าอาจต้องใช้เงินอีกประมาณ $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการแก้ไขปัญหาลำตัวของเครื่องบินที่มีขนาดกว้างเกินไป
เดวิด คาลฮูน CEO ของบริษัทโบอิ้งกล่าวในรายงานผลประกอบการว่า
“เรากำลังทำให้การดำเนินงานของเรามีความมั่นคงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความต้องการของตลาดยังคงมีความไม่แน่นอนมาจากการจำหน่ายวัคซีนที่ต้องแข่งกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ในอนาคต ความสามารถในการขนส่งซัพพลายเชนและการค้าโลก จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมการบิน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง”
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่เชื่อว่าโบอิ้งจะสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ปัญหานี้จะยิ่งผสมโรงเข้าไปกับเหตุการณ์ 737 MAX ตกที่จนถึงตอนนี้บริษัทยังไม่สามารถจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดได้
หุ้นโบอิ้งยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะฟื้น
ตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นของบริษัทโบอิ้งยังคงวิ่งอยู่ในแนวโน้มขาลง 4% ทั้งๆ ที่สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมปี 2020 ได้แล้ว ผลงานปีนี้ของหุ้นโบอิ้งยังถือว่าต่ำกว่าดาวโจนส์ที่ตลอดทั้งปีสามารถปรับตัวขึ้นมา 16% หุ้นโบอิ้งมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $207.79 อยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลในปี 2019 มากกว่า 50%
การขาดลูกค้ารายใหญ่อย่างประเทศจีนไปยังคงเป็นปัญหาหลักของบริษัทโบอิ้ง และเป็นอุปสรรคสำคัญของการฟื้นตัวของราคาหุ้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนสร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับการขายเครื่องบินให้ประเทศจีน จีนไม่ได้สั่งซื้อเครื่องบินจากโบอิ้งมาตั้งแต่ปี 2017 และในขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้ยกเลิกการระงับใช้งานเครื่องบิน 737 MAX
สำนักข่าวบลูมเบิร์กวิเคราะห์สถานการณ์นี้ว่า
“ประเทศจีนยังไม่อนุญาตให้ 737 MAX กลับมาขึ้นบิน แต่โบอิ้งก็ยังคงตั้งเป้าว่าจะเพิ่มการผลิตของเครื่องบินรุ่นนี้เพิ่มอีกในช่วงต้นปี 2022 หรือโบอิ้งจะรู้อะไรที่คนทั่วไปอย่างเราไม่รู้? หรือจะเป็นแค่การผลิตไปก่อนแล้วค่อยหาที่ขายทีหลัง?”
โบอิ้งย้ำเมื่อวันพุธว่ามีแผนจะเริ่มจำหน่ายเครื่องบินไอพ่น 737 MAX 31 ลำต่อเดือนภายในต้นปี พ.ศ. 2022 เพิ่มขึ้นจากเดิม 19 ลำ บริษัทมีเครื่องบินรุ่น MAX อยู่ประมาณ 370 ลำในสต็อก โบอิ้งอ้างว่า “ส่วนใหญ่” มีเจ้าของแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถส่งมอบเครื่องบินที่ค้างอยู่ให้กับจีนได้ คาดว่ากระบวนการส่งมอบทั้งหมดจะสิ้นสุดลงภายในช่วงสิ้นปี 2023
หลังจากรายงานผลประกอบการออกมา ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ก็ยังคงเชื่อมั่นและเข้าซื้อหุ้นของโบอิ้ง พวกเขาให้เหตุผลกับการตัดสินใจครั้งนี้ว่า
“มีเหตุผลมากมายที่จะสนับสนุนขาขึ้นของหุ้นโบอิ้งในอนาคต หนึ่งคือองค์การการบิน (FAA) จะอนุมัติให้โบอิ้งสามารถส่งมอบเครื่องบิน 787 Dreamliner ให้กับลูกค้าได้ สองคือไม่ว่าอย่างไรประเทศจีนก็ต้องกลับมาเอาเครื่องบินที่ค้างเอาไว้อยู่ และสามคือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กำลังพาการท่องเที่ยวให้กลับมา ปัจจัยเชิงบวกเหล่านี้จะส่งผลกระทบเชิงบวกในระยะยาวกับหุ้นโบอิ้ง และเราจะเริ่มเห็นการเติบโตของราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า”
โดยสรุปแล้ว
รายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดของโบอิ้งแสดงให้เห็นว่าบริษัทกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ พวกเขากำลังปรับสมดุลทางการเงินให้มีเสถียรภาพมากขึ้น และสถานการณ์ตอนนี้ก็ถือว่าดีกว่าสองปีก่อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นหุ้นโบอิ้งในตอนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนระยะยาว ที่มีความอดทน การฟื้นตัวของโบอิ้งนั้นจะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้ารายใหญ่อย่างประเทศจีน