ขาขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งบิทคอยน์ที่วิ่งกลับขึ้นมาจาก $60,000 จนสามารถยืนเหนือ $62,000 ได้อีกครั้งทำให้นักลงทุนตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเมื่อไหร่จะได้เห็นราชาสกุลเงินดิจิทัลสามารถวิ่งขึ้นแตะ $100,000 ได้สำเร็จ
ต้องยอมรับว่าคำถามที่ส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ นี้เกิดขึ้นมาจากการเปิดตัวกองทุน ETF ของบิทคอยน์อย่างเป็นทางการ หนึ่งคือกองทุน ProShares Bitcoin Strategy Fund (NYSE:BITO) และกองทุนที่สองคือ Valkyrie Bitcoin Strategy ETF (NASDAQ:BTF) การเปิดตัวกองทุนทั้งสองคือการถูกยอมรับไปอีกชั้นของสกุลเงินดิจิทัล
นักลงทุนในตลาดต่างเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการถูกยอมรับในวงกว้างในอนาคต และช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง จำนวนสัญญาที่เปิดขึ้นมาในตลาดบิทคอยน์ฟิวเจอร์ส CME ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ในฐานะตัวเลือกการลงทุนยอดนิยม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในวันเดียวจนนายชาร์ลี เอ็ดเวิร์ด CEO ของบริษัท Capriole ต้องออกมาพูดว่า “ขาขึ้นรอบนี้คือแรงผลักดันจากนักลงทุนสถาบันล้วนๆ”
แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานจะทำให้เห็นว่าไม่มีแนวโน้มเลยที่บิทคอยน์จะกลายเป็นขาลง แต่จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น และเป็นไปได้ว่าขาขึ้นระลอกนี้อาจจะขอพักหายใจก่อนชั่วคราว
ขาลงจาก $67,000 ของบิทคอยน์ครั้งล่าสุดแรงพอที่จะหลุดกรอบราคาขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่ $50,000 ก่อให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นบิทคอยน์ฟอร์มตัวเป็นรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) เมื่อพิจารณาที่อินดิเคเตอร์ จะเห็นว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นของ MACD ได้ตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวลงมาแล้ว ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์อย่าง RSI และ ROC ก็ได้วิ่งส่งสัญญาณขาลงออกมาก่อนแล้ว
เมื่ออินดิเคเตอร์ RSI สามารถตัดเส้น neckline ลงมาได้ นั่นหมายความว่าการฟอร์มตัวแบบหัวไหล่ของขาลงได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์ ROC ก็ได้ฟอร์มตัวอยู่ในกรอบราคาขาลง มาตั้งแต่ก่อนเส้นค่าเฉลี่ยของ MACD จะตัดกันเสียอีก ถึงภาพทางเทคนิคจะชี้ไปทางขาลง แต่เราขอออกตัวก่อนว่าเราไม่ได้เชื่อเช่นนั้น ตราบใดที่ตัวกราฟยังไม่หลุดเส้น neckline ลงมา เราจะไม่เรียกว่ากราฟบิทคอยน์ว่าเป็นขาลง
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าบิทคอยน์จะลงมาที่ $55,000 จากนั้นดีดตัวขึ้นมาทดสอบแนวต้านเดิม ก่อนที่จะวางคำสั่งขาย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอวางคำสั่งขายเมื่อบิทคอยน์วิ่งลงต่ำกว่า $58,000 และหากดีดตัวกลับขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะถือว่าเป็นสัญญาณเข้า
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง หากพร้อมรับความเสี่ยงแล้วสามารถตัดสินใจวางคำสั่งขายได้ทันที ต้องเข้าใจว่านักลงทุนกลุ่มนี้สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ แต่ยิ่งเสี่ยงมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีแผนการเทรดที่ดีรองรับ
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $63,000
- Stop-Loss: $64,000
- ความเสี่ยง: $1,000
- เป้าหมายในการทำกำไร:$60,000
- ผลตอบแทน: $3,000
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3