รายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารในสัปดาห์นี้ถือเป็นการตอกย้ำความสำคัญในการมีอยู่ของธุรกิจประเภทนี้ หลังจากที่นักวิเคราะห์บางคนเริ่มสงสัยในอนาคตของการทำธุรกรรมผ่านตัวกลางแบบดั้งเดิม ก็ไม่น่าแปลกใจที่นักวิเคราะห์บางส่วนจะคิดเช่นนั้น เพราะในช่วงครึ่งปีแรกหุ่นกลุ่มธนาคารยังสามารถเติบโตได้ดี ก่อนที่ความแข็งแกร่งนั้นจะชะลอตัวลดลงไป
ในวันที่ 14 ตุลาคม รายงานผลประกอบการของธนาคารชื่อดังอย่าง “แบงก์ออฟอเมริกา” (NYSE:BAC) ในไตรมาสที่สามสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ สาเหตุหลักๆ ที่หุ้นของ BofA ได้รับข่าวดีเป็นเพราะความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจที่ไปควบรวมมา ถึงแม้ว่า BofA จะขึ้นค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษาทางการเงินหรือการลงทุน 65% และขึ้นค่าทำธรรมเนียมในการดำเนินการลงทุน 23% พวกเขาก็ยังได้กำไรจากการทำธุรกรรมรวมเพิ่มขึ้น 10%
นาย Brian Moynihan ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของ BofA ให้สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จในไตรมาสนี้ว่า
“การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วยให้ธุรกิจของพวกเราฟื้นตัวกลับมาอย่างที่เคยเป็นก่อนเชื้อไวรัสโควิดจะระบาด ยอดฝากเงินที่เพิ่มมากขึ้น และการเติบโตของอัตราการกู้ยืมเริ่มปรากฎให้เห็นตั้งแต่ไตรมาสที่สอง และดำเนินต่อมาจนถึงไตรมาสนี้ เรายังคงได้กำไรจากเบี้ยเงินฝากแม้ว่าธนาคารกลางยังไม่คิดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ก็ตาม”
อีกหนึ่งธนาคารชื่อดังที่สามารถรายงานผลประกอบการเป็นบวกได้คือธนาคารเจพีมอร์แกน (NYSE:JPM) ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปรากฎว่าพวกเขามีกำไรเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน หลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีความเชื่อมั่นในการกลับมากู้ยืมมากขึ้น เชื่อว่าความกล้าที่จะกู้ยืมในระยะยาวคงจะสามารถเกิดขึ้นได้เร็วๆ นี้
Jamie Dimon ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่า
“ในปีที่แล้วและปีนี้ เรายังคงต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด ที่ส่งผลทางเศรษฐกิจจนภาพเมื่อปี 1960 ย้อนกลับมา ขนาดว่าในปีนี้เราอยู่ในช่วงเวลาแห่งการฟื้นตัว ก็ยังสามารถทำกำไรกลับมาได้ ผมไม่อยากคิดเลยว่าปีหน้า ปีที่หวังว่าจะไม่มีปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลนแล้ว จะเป็นปีที่ดีสำหรับพวกเรามากแค่ไหน เวลาปิดฉากเรื่องเลวร้ายเหล่านี้กำลังใกล้จะมาถึงแล้ว”
ความสามารถในการกู้ยืมกลับเข้ามาสู่กลุ่มธนาคาร
ความคาดหวังที่มีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้มีปริมาณการทำธุรกรรมผ่านธนาคารมากขึ้น และเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 เราเชื่อว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นแรงผลักดันธุรกิจให้หุ้นกลุ่มนี้มีกำไรที่เพิ่มมากขึ้นในไตรมาสถัดๆ ไป
ดัชนีที่วัดมูลค่าของหุ้นกลุ่มธนาคารอย่าง KBW Bank Index ในปีนี้ปรับตัวขึ้น 37% หุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นแกนนำทำให้ดัชนีดังกล่าวปรับตัวขึ้นเราต่างก็รู้จักกันเป็นย่างดีเช่น เจพีมอร์แกน แบงก์ออฟอเมริกา โกลด์แมน แซคส์ (NYSE:GS) จึงทำให้เราวิเคราะห์ว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังสมควรที่จะถือครองต่อไป
เหตุผลที่เราแนะนำเช่นนั้นเป็นเพราะปีที่แล้วความต้องการจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเครดิตจำเป็นต้องรอไปก่อน เมื่อวิกฤตโควิดเข้ามาทำร้ายเศรษฐกิจ ไม่มีใครอยากกู้ในยามวิกฤตเพราะกลัวจะเป็นหนี้โดยใช่เหตุ ที่สำคัญ ช่วงล็อกดาวน์ยิ่งไม่มีเหตุผลให้ใช้เงินมากนอกจากการจับจ่ายใช้สอยสิ่งของที่จำเป็น แต่ในปีนี้ สถานการณ์นั้นแตกต่างกันออกไป ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลอเมริกาทั้งการบริหารงบประมาณและวัคซีนทำให้ภาคประชาชนสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ ซึ่งหมายถึงความต้องการจับจ่ายใช้สอยผ่านรูปแบบต่างๆ รวมถึงบัตรเครดิตที่เป็นช่องทางการทำเงินที่ดีที่สุดของธนาคารรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุด ธนาคารเจพี มอร์แกนได้แสดงความเป็นห่วงการจับจ่ายใช้สอยที่เกินความจำเป็นของผู้บริโภค เขาระบุว่าตัวเลขเงินฝากในบัญชีของประชาชนลดลงอย่างรวดเร็ว และไปเพิ่มขึ้นอยู่ในฝั่งหนี้แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้บัตรเครดิตอย่างมากมายในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา
Gerard Cassidy นักวิเคราะห์จาก RBC Capital Markets ให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์ก ถึงเหตุผลที่หุ้นกลุ่มธนาคารจะยังคงมีเสน่ห์น่าดึงดูดต่อไปว่า ยิ่งสภาพคล่องของบริษัทหรือประชาชนมีมากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งมีแนวโน้มว่าจะกู้เพิ่มเพื่อเริ่มอนาคตใหม่หลังยุคโควิดมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญไปกว่านั้น หากปีหน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดกันจริงๆ จะยิ่งทำให้ธนาคารมีกำไรมากขึ้น
โดยสรุปแล้ว
ปี 2021 ถือเป็นปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับการลงทุนให้หุ้นกลุ่มธนาคาร จากรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้คงแสดงให้เห็นแล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากคิดจะสวนเทรนด์ปล่อยขายหุ้นธนาคารในช่วงเวลานี้ หากมีคนมาถามเราว่าขาขึ้นของหุ้นธนาคารจะไปได้ไกลแค่ไหน? เราก็คงตอบได้เพียงว่าเท่าที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รอบนี้จะไปถึง อย่างน้อยๆ ก็มีถึงช่วงปลายปี 2022 เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ตามคาดการณ์)