🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

ยัง Focus อยู่กับ Theme “Restart”

เผยแพร่ 06/10/2564 09:15
อัพเดท 09/07/2566 17:32
SETI
-
CPALL
-
KBANK
-
PTT
-

ใน Invest+ ฉบับเดือน ต.ค.64 ที่ได้เผยแพร่ออกไปเมื่อ 1 ต.ค. เราได้ให้ มุมมองตลาดว่ามี Downsideในระดับที่จำกัด และกำลังสร้างฐานเพื่อปรับขึ้น รอบใหม่ และกำหนด Theme การเลือกหุ้นเป็น Restart ซึ่งเป็นหุ้นในกลุ่มที่ คาดว่าจะฟื้นตัวได้แรงในช่วงที่เศรษฐกิจกลับตัว เช่นกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก ท่องเที่ยว ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งจากการติดตามพัฒนการของเหตุการณ์ต่างๆ ถือว่า ยังเดินไปในทิศทางที่คาดหมาย สำหรับประเด็นที่น่าสนใจในวันนี้เป็นส่วน หนึ่งของสัญญาณการฟื้นตัวเริ่มจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ต่อเนื่อง และส่งผลต่อเนี่องให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น แต่ยังไม่ถึงระดับที่จะ สร้างความกังวลเรื่องทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ SET Index ยกฐานสูงขึ้นถือเป็นสัญญาณบวก คาดกรอบอยู่ที่ 1610 – 1635 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ให้ปรับหุ้น KCE ออก และสลับเข้ามาลงทุนใน TOP (น้ำหนัก 10%) Top Pick เลือก MINT, KBANK (BK:KBANK) และ TOP

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขยับขึ้นต่อ เน้นเก็งกำไรหุ้นน้ำมัน-โรงกลั่น-ถ่านหิน

ตลาดหุ้นโลกแกว่งตัวค่อนข้างผันผวน หลังจากวันที่ 4 ต.ค. 2564 ตลาดหุ้นโลกปรับ

ฐานเฉลี่ยลงไปราว -1.7% ขณะที่วานนี้ (5 ต.ค. 2564) พลิกกลับมาฟื้นตัวเฉลี่ยราว

1.2% โดยแรงหนุนมาจากดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐเดือน ก.ย. 2564 ฟื้นตัว

ต่อเนื่อง สวนทางกับที่ตลาดคาดจะชะลอตัวลง

อย่างไรก็ตาม ASPS คาดว่าตลาดหุ้นฟื้นตัวน่าจะเป็นเพียงการ Rebound ช่วงสั้นๆ และมีโอกาสกลับไปผันผวนต่อ เพราะเหตุปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดยังมีอยู่ นั่น คือ ความกังวลเพดานหนี้สาธารณะ (Debt Limit) ของสหรัฐ ซึ่งหากวุฒิสภาไม่สามารถ อนุมัติการยกเลิกเพดานหนี้ชั่วคราวได้ภายในวันที่ 18 ต.ค. 2564 อาจมีความเสี่ยงที่ รัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ได้ ทางด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น

  • กลุ่มน้ำมัน: ราคาน้ำมันปรับขึ้น จากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่ฟื้นตัวตาม ภาวะเศรษฐกิจ หลัง OPEC+ คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั้วโลกปี 2566 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 101.6 ล้านบาร์เรล/วัน รวมถึงยังมีปัจจัยหนุนจากผลการ ประชุมของกลุ่ม OPEC+ ที่คงมติเพิ่มกำลังการผลิต 4 แสนบาร์เรล/วันสำหรับ เดือน พ.ย. ตามแผนเดิม ซึ่งเป็นตามที่ตลาดคาดการณ์ โดย Top picks หุ้นใน กลุ่มน้ำมันได้แก่ PTTEP (Buy: FV@B144), PTT (BK:PTT) (Buy: FV@B48.5) TOP (Buy: FV@B55) และ BCP (Switch: FV@B26), ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีที่อาจมีแรง ซื้อเข้าเก็งกำไรในช่วงสั้นตามทิศทางตลาดและราคาน้ำมันได้แก่ PTTGC (Buy: FV@B71) และ IRPC (Switch: 3.9)

  • กลุ่มถ่านหิน: ราคาถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนจากปัญหา Supply ที่ขาดแคลนจากเหมืองหลายแห่งในที่ถูกปิดลง และ นโยบายตรวจสอบความปลอดภัยที่เข้มงวดของทางรัฐบาลจีน ประกอบกับ คำสั่งระงับการนำเข้าถ่านหินจากประเทศออสเตรเลีย ในขณะที่ความต้องการ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม ถ่านหิน แนะนำให้หาจังหวะเข้า trading ช่วงสั้นในช่วงที่ราคาถ่านหินยังอยู่ใน ระดับสูงทั้ง BANPU (FV@B10.50), และ LANNA

  • กลุ่ม Soft Commodity: Soft Commodity ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น ถั่ว เหลือง +1.2%, น้ำตาล +0.8%, ยางแท่ง +0.3% เป็นต้น ตามการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลก เป็นบวกต่อหุ้น TVO, KSL, NER ตามลำดับ

โดยภาพรวม ASPS ประเมิน ในระยะสั้น การฟื้นตัวของตลาดต่างประเทศจะมีส่วนช่วย ประคองให้ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ยังทรงตัวในระดับสูงต่อได้ แต่ในระยะต่อไปยังต้อง ติดตามปัจจัยต่างๆต่อไป โดยเฉพาะเรื่องเพดานหนี้สาธารณะ และตลาดแรงงานของ สหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อ QE Tapering ของ Fed ต่อไป ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆที่ เพิ่มขึ้น จะช่วยสร้างสีสัน และแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในวันนี้ ASPs เลือก TOP เป็นหนึ่งในหุ้น Top pick ในพอร์ตจำลองของ ASPS

อัตราเงินเฟ้อฟื้นตัว แต่ไม่ทั่วถึง หนุน กนง. คงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อ กระทรวงพาณิชย์รายงาน อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย. 2564 พลิกกลับมาขยายตัว 1.68%yoy จาก -0.02% ในเดือนก่อน จากการผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจในเดือน ก.ย. 2564, มาตรการลดค่าไฟฟ้า-น้ำประปาสิ้นสุด, ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น (ราคา น้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้น 74% yoy) และฐานที่ต่ำในปีก่อน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ 9M64 ขยายตัวเฉลี่ย 0.83%yoy อย่างไรก็ตาม ASPS ตั้งข้อสังเกตว่าแม้อัตราเงินเฟ้อจะกลับมาฟื้นตัวในภาพรวม แต่ เป็นการฟื้นตัวจากราคาสินค้าบางกลุ่มเท่านั้น สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตรา เงินเฟ้อที่ไม่นับอาหารสดและพลังงาน) ในเดือนเดียวกันยังขยายตัวต่ำที่ระดับ 0.19%yoy ซึ่งเพิ่มจาก 0.07% ในเดือน ส.ค. 2564 ไม่มากนัก บ่งบอกว่าอัตราเงินเฟ้อ ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง

ประเมินอัตราเงินเฟ้อยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง จากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังต่ำ หนุน กนง. คง อัตราดอกเบี้ยต่อไป แต่คาดอัตราดอกเบี้ยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ช่วยให้กลุ่มธนาคารมี Downside จำกัด ซึ่งจะเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มธนาคาร เช่น KBANK, SCB

ครม. อนุมัติจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพิ่มเติมอีก 6 แห่ง Sentiment บวก ต่อกลุ่มนิคม แนะนำเก็งกำไร

1 ในตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต คือ การลงทุนเอกชน โดยรัฐบาลพยายาม ผลักดันทำให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC 3 จังหวัด คือ ชลบุรี, ระยอง,ฉะเชิงเทรา มาตั้งแต่ อดีต โดยสิทธิประโยชน์ทั้งการลดหย่อนภาษี ฯลฯ เพื่อจูงใจ และยังมีมาตรการจุงใจด้าน อื่นๆ ออกมาตลอดในช่วงทีผ่านมา ล่าสุด คือ อาทิ การพัฒนาแหล่งน้ำใน EEC ,การ เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ท่าเรือแหลมฉบัง, รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน

แต่เนื่องปัจจุบันในพื้นที่ EEC ประเมินแล้วว่ามีพื้นที่รับรองการประกอบกิจการ อุตสาหกรรม 15,836 ไร่ คาดว่าจะรองรับการลงทุนได้เพียง 5 ปี ทำให้ ล่าสุดเมื่อวาน ครม. มีเห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพิ่มเติมอีก 6 แห่งเพื่อรองรับการลงทุน จากต่างชาติ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย New S Curve มีพื้นที่รวม 6,884 ไร่ หลักๆ คือ

▪ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะแหลมฉบัง และ หนองใหญ่ ในจังหวัดชลบุรี (ROJNA)

รวม 2199 ไร่ หรือราว 32%ของพื้นที่ทั้งหมด

▪ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จังหวัดระยอง พื้นที่

1,498 ไร่ หรือราว 21.7%ของพื้นที่ทั้งหมด

▪ นิคมอุตสาหกรรมเอเชียคลีน จังหวัดชลบุรี พื้นที่ 978 ไร่ , นิคมอุตสาหกรรมเอ็ก

โกระยอง จังหวัดระยอง พื้นที่ 421 ไร่ ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง

บ้านฉาง จังหวัดระยอง มีพื้นที่รวม 519 ไร

โดยรวมฝ่ายวิจัย ASPS ประเมินจะสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นในกลุ่มนิคม อุตสหกรรมโดยรวม โดยเฉพาะคนที่มีพื้นที่และได้ประโยชน์มากสุด คือ ROJNA (ดังกล่าว) รองลงมาคือ WHA แนะนำเก็งกำไรจาก Sentiement บวก เพราะในทาง พื้นฐานคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ

S&P คง Rating ประเทศไทย ที่เดิม BBB+ ถือว่าเป็น Sentiment บวกต่อ SET Index ในระยะกลาง-ยาว

เมื่อวานสถาบันจัดอันดับ Rating คือ S&P รายงาน ยังคง Credit Rating ประเทศไทย ที่ BBB+ และยังคงมุมมอง (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable) ดังรูป เนื่องจา กาคการเงินต่างประเทศของไทยทุนสำรองระหว่างประเทศมีสูง ASPS ประเมินว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้า Moody และ Fitch rating ให้มุมมองสอดคล้องกัน ในช่วงก่อนหน้า แต่ถือว่าเป็น Sentiment บวกต่อ SET Index ในระยะกลาง-ยาว บ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นต่อไทยแนวโน้มเศรษฐกิจ

โดย ASPS มีมุมมองต่อคาดการร์แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัท จดทะเบียนในอนาคตดีขึ้น โดยประเมิน

1.ภาคเศรษฐกิจ คือ คาดงวด 3Q64 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2564 คาด GDP จะ พลิกกลับมาหดตัว 5.3%yoy และหดตัว 12%qoq คาดตลาดหุ้นไทยได้ตอบ รับประเด็นลบตรงนี้ไปแล้ว แต่หากมองไปที่งวดไตรมาส 4Q64 คาด เศรษฐกิจจะฟื้นตัว 14%qoq จากการผลจาก Restart ประเทศ โดยประเมิน จากปัจจัยแวดล้อมที่หนุนมี 1.)การกระจายฉีดวัคซีน Covid ในไทยเป็นวง กว้าง และ Supply วัคซีน และยารักษา Covid 2.) การประกาศอยู่ร่วมกับ Covid หรือให้เป็นโรคประจำถิ่น หนุนให้โอกาสจะกลับไป Lockdown แบบ เข้มงวดน้อยลง 3.)การทยอยเปิดประเทศ ผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจ ฯลฯ

2.กำไรบริษัทจดทะเบียน : คาดงววด 3Q64 เป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนที่จะฟื้นตัว ได้นับตั้งแต่ช่วง 4Q64 ต่อเนื่องในปี 2565 ตามความคาดหวังการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจในอนาคต บวกกับมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ

โดยรวมแนะสะสมหุ้นในธีม Restart -Economy อาทิ ADVANC, AEONTS, CPALL (BK:CPALL), CPN, KBANK และ TOP

SET ย่ำฐาน เตรียมเดินหน้าต่อ แนะสะสมหุ้นธีม Restart Economy

ในยามที่ตลาดหุ้นโลกผันผวน แต่ตลาดหุ้นไทยในวานนี้ยังฟื้นตัวต่อเนื่องอีก 9.76 จุด หรือ 0.6% ถือว่าปรับขึ้นได้โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค บวกกับต่างชาติมีการ สลับเข้ามาซื้อหุ้น 600 ล้านบาท หนุนให้เดือน ต.ค. ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% mtd (สูงสุดเป็นอันดับ 13 จากข้อมูลตลาดหุ้นใน Bloomberg 92 ประเทศ)

ภาพการฟื้นของเศรษฐกิจที่เห็นชัดขึ้นทั้งจากปริมาณวัคซีนสะสมในปีนี้ 178 ล้านโดส ครอบคลุมการฉีดได้คนละ 2 เข็มทั้งประเทศ อีกทั้งไทยยังเริ่มเจรจาจองซื้อยารักษา Covid-19 จาก Merck&Co เสริมความคาดหวัง ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ในส่วนของ Valuation ตลาดหุ้น ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงประมาณการ EPS64F ที่ 73.6 บาท/หุ้น และคงเป้าหมายดัชนีปลายปีที่ 1670 จุด ส่วนปี 2565 เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน EPS65F ที่ 80 บาท/หุ้น เติบโตราว 8.8% (ตัวเลขยังไม่นิ่ง) ภายใต้ระดับ Market Earning Yield Gap. เฉลี่ยในอดีต 3.9% จะได้ดัชนีเป้าหมายเบื้องต้นปี 2565F ที่ 1816 จุด

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย