ทุกวันนี้เรามีตัวเลือกไม่มากนักหากต้องการหุ้นที่มีอัตราการปันผลสูง การเข้ามาของนักลงทุนที่มีมากขึ้นตลอดทั้งปีทำให้หุ้นที่เคยปันผลดีที่สุดยังสามารถมอบผลตอบแทนได้เพียงตัวเลขหลักเดียว แหล่งข้อมูลทางสถิติที่เชื่อถือได้ระบุว่าทุกวันนี้หุ้นที่อยู่บนเอสแอนด์พี 500 สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้เพีลง 2% เท่านั้น แต่หากคุณเริ่มมองหาตัวเลือกที่อยู่นอกตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว ก็ยังมีบางบริษัทที่สามารถให้ผลตอบแทนระดับสูงได้ ที่สำคัญคือมีความเสี่ยงไม่สูงมาก
หุ้นที่เรากำลังพูดถึงนี้เป็นบริษัทที่มาจากตลาดลงทุนแคนาดา เอนบริดจ์ (NYSE:ENB) บริษัทผู้ขนส่งพลังงานที่เน้นการขนส่งอยู่ในทั่วทวีปอเมริกาเหนือ ในบทความนี้เราจะพาไปดูว่าทำไมหุ้นของเอนบริดจ์ถึงแข็งแกร่งจนกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
1.) ความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
ผลวิจัยระบุว่าสินค้าที่มียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอยได้แก่กลุ่มพลังงาน สินค้าสำหรับอุปโภคบริโภค ผู้ให้บริการโทรคมนาคมและเฮลท์แคร์ บริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในกลุ่มนี้สามารถสร้างกระแสเงินสดและปันผลได้อย่างต่อเนื่อง เอนบริดจ์เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้และมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดตามนิยามของคำว่า “Wide Economic Moat” ที่วอร์เรน บัฟเฟตเป็นผู้นิยามไว้
ด้วยความที่เอนบริดจ์เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ทั่วอเมริกาเหนือ พวกเขาเป็นผู้เติมเต็มความต้องการด้านพลังงานให้กับผู้ที่ต้องการ สองในสามของพื้นที่ประเทศแคนาดามีบริษัทเอนบริดจ์เป็นผู้ส่งมอบน้ำมันให้ และพวกเขาก็ยังเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติประมาณ 20% ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อมองภาพรวมทั่วทั้งอเมริกาเหนือ เอนบริดจ์ถึงเป็นยักษ์ตัวที่สามที่ทรงอิทธิพลด้านการขนส่งพลังงานมากที่สุด
2.) เงินสดหมุนเวียน
หากพูดถึงกระแสเงินสดภายในบริษัทเอนบริดจ์ ต้องยอมรับว่าพวกเขาสามารถกระจายเงินทุนได้ดี เอ็นบริดจ์มีการลงทุนในธุรกิจมากมายตามปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เมื่อธุรกิจหนึ่งประสบปัญหา ก็ยังสามารถมีเงินจากธุรกิจอื่นเข้ามาเติมสภาพคล่องให้หมุนเวียนต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่นการระบาดครั้งนี้ที่ส่งผลกระต่อความต้องการน้ำมันทั่วประเทศ ธุรกิจของเอนบริดจ์อย่างเช่นการส่งและจำหน่ายก๊าซ และการมีคลังสำรองให้เช่า (คิดเป็น 30% ของกระแสเงินสด) ก็สามารถช่วยบริษัทให้พ้นภัยได้
ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สองระบุว่ากำไรของเอนบริดจ์เพิ่มขึ้นเกือบ 38% จาก $8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่แล้วขึ้นเป็น $10,900 ล้า่นเหรียญสหรัฐ มีตัวเลขวัดความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากต้นทุนทางการเงิน นโยบายทางการบัญชีเและภาษี (EBITDA) อยู่ระหว่าง $14,300 - $13,900 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $4.70 - $5
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของเอนบริดจ์ได้ดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างใหม่ ขายสินทรัพย์ เน้นทำกำไรจากจุดแข็งหลัก และชำระหนี้เพื่อลดภาระด้านหนี้สินลง มาตรการเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนระยะยาวที่มีเป้าหมายในการหารายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเดือนมิถุนายน เอนบริดจ์ได้ขายบริษัทผู้จัดส่งก๊าซธรรมชาติแห่งหนึ่งออกไปในมูลคค่า $906.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรักษาระดับ EBITDA เอาไว้ที่ 4.5 - 5 เท่าเท่านั้น
3. การปันผลที่แข็งแกร่ง
หุ้นเอนบริดจ์มีประวัติการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน เมื่อ 26 ปีที่แล้วเอนบริดจ์ได้ปรับเปอร์เซ็นต์การให้เงินปันผลรายปีขึ้นเป็น 10% ถึงแม้ว่าตอนนี้จะลดลงมาเหลือ 7% ก็ตาม เมื่อคิดเป็นการปันผลรายไตรมาส จะพบว่าเอนบริดจ์มีการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ $0.6675
เอนบริดจ์คาดว่าตลอดทั้งปี 2023 บริษัทจะมีเปอร์เซ็นต์การจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 4%-7% และคิดจะนำเงินจากการคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ประมาณ 60%-70% มาเป็นการจ่ายเงินปันผล เพื่อรักษาเสถียรภาพของบริษัทเอาไว้ ล่าสุดราคาหุ้นของเอนบริดจ์มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $39.53
โดยสรุปแล้ว
ตลอดทั้งปี 2021 หุ้นเอ็นบริดจ์ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 23% ซึ่งถือว่าให้ผลตอบแทนมากกว่ากองทุน ETF iShares U.S. Utilities (NYSE:IDU) นอกจากมีผลประกอบการที่น่าประทับใจ อัตราเงินปันผลตอบแทนของหุ้นตัวนี้ก็ยังน่าดึงดูด เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บหุ้นที่สร้างรายได้ที่มั่นคงไว้ในพอร์ตการลงทุน