แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันศุกร์จะสามารถปรับตัวขึ้นได้เพียงเล็กน้อย แต่ดัชนีหลักอย่างเอสแอนด์พี 500 ก็ยังสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้ ขานรับรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงช่วงปลายของการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 กันแล้ว แต่สัปดาห์นี้ก็ยังมีหลายบริษัทที่นักลงทุนควรจับตามอง ยกตัวอย่างเช่นวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) ทาร์เก็ต (NYSE:TGT) เมซี่ (NYSE:M) โฮมดีโป (NYSE:HD) เอ็นวีเดีย (NASDAQ:NVDA) ซิสโก้ (NASDAQ:CSCO) เป็นต้น ส่วนข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะจับตาดูการรายงานตัวเลขยอดค้าปลีก และรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ ส่วนหุ้นตัวไหนจะเป็นหุ้นน่าถือและหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นน่าทิ้ง ในบทความนี้เราจะพาไปดูกัน
หุ้นน่าถือ: Tesla
ชื่อเสียงเรียงนามของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (NASDAQ:TSLA) คงไม่ต้องอธิบายกันมากว่าเขาเป็นใคร เราเชื่อว่าในสัปดาห์นี้หุ้นของบริษัทเทสลาจะมีความเคลื่อนไหวมากเป็นพิเศษ เพราะบริษัทจะมีการจัดอีเวนต์พิเศษที่มีชื่อว่า “เอไอ เดย์ (AI Day)” ขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม ก่อนหน้านี้รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ที่ประกาศไปในเดือนกรกฎาคมก็สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้อย่างถล่มทลาย
งานเอไอ เดย์นี้จะได้รับความสนใจจากผู้คนในหลากหลายวงการ พวกเขาเชื่อว่าจะได้เห็นบริษัทเทสลาเปิดเผยความลับทางเทคโนโลยี รวมถึงความเป็นไปได้และแนวทางที่เทสลาจะวางให้กับผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต แน่นอนว่างานนี้จะขาดไฮไลท์ของงานอย่างนายอีลอน มัสก์ CEO ของบริษัทไปไม่ได้ และมีการคาดการณ์กันว่าจะได้เห็นวิศวกรของเ้ทสลาทั้งในส่วนชองฮาร์ดแวร์แลซอฟต์แวร์ขึ้นมาพูดเกี่ยวกับการทำงาน รวมไปถึงการพัฒนาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีพื้นฐานเป็นเครือข่ายนิวร่อล เอ็นจิ้น (Neural Engine)
ปัจจุบันราคาหุ้นเทสลาในตอนนี้มีราคาอยู่ที่ $717.17 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาล $900.13 ประมาณ 20% มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $718,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังทำให้เทสลาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก มากกว่าบริษัทอย่างโตโยต้า (NYSE:TM) เดมเลอร์ (OTC:DDAIF) เจนเนอรัล มอเตอร์ (NYSE:GM) ฮอนด้า (NYSE:HMC) และฟอร์ด (NYSE:F)
ในปี 2020 หุ้นของเทสลาเคยสร้างผลงานอันโดดเด่นเอาไว้ด้วยขาขึ้น 740% ตลอดทั้งปี แต่ในปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน ขาขึ้นของเทสลากลับสามารถปรับตัวขึ้นได้เพียง 1.6% เท่านั้น
หุ้นน่าทิ้ง: Krispy Kreme
บริษัทผู้ผลิตโดนัทชื่อดังของสหรัฐฯ อเมริกานาม คริสปี้ ครีม (NASDAQ:DNUT) จะรายงานผลประกอบการในวันอังคารที่ 17 สิงหาคม หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าในไตรมาสนี้คริสปี้ ครีมจะมีตัวเลขรายได้อยู่ที่ $332.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.13 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางกลุ่มเชื่อว่ารายงานผลประกอบการครั้งนี้อาจสร้างความผิดหวังให้กับผู้ถือหุ้น
จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา และภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนต้องการจะทราบข้อมูลตัวเลขการเติบโตของยอดขายในแต่ละสาขา (ซึ่งถือเป็นมาตรวัดหลักของบริษัทค้าปลีก) ว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด และมีโอกาสเติบโตได้อีกมากน้อยแค่ไหนในปีนี้ นอกจากนี้นักลงทุนต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับแผนเรียกเงินมูลค่า $500 ล้านเหรียญสหรัฐจากการทำ IPO เพื่อมาลดภาระหนี้สินของบริษัทว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
ในวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือเป็นวันที่บริษัทคริสปี้ ครีมได้ทำ IPO เข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้พวกเขาได้สังกัดอยู่บนดัชนีแนสแด็ก ก่อนหน้านี้คริสปี้ ครีมเคยเข้าตลาดหุ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2000 ก่อนที่บริษัทจะถูกซื้อไปโดยกลุ่ม เจเอบี โฮลดิ้ง ในมูลค่า $1,350 ล้านเหรียญสหรัฐและออกจากตลาดหุ้นไป ราคาเปิดตัวของ IPO ในครั้งนี้มีตัวเลขอยู่ที่ $17 ต่อหุ้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าราคา IPO เฉลี่ยซึ่งปกติจะอยู่ที่ $21-$24 ต่อหุ้น
อย่างไรก็ดี ทันทีที่คริสปี้ ครีมกลับมา ราคาหุ้นของบริษัทก็ได้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ที่ $21.69 ก่อนที่ย่อตัวลงมา 28% มีราคาซื้อขายในปัจจุบันอยู่ที่ $14.70 อีกหนึ่งประเด็นที่นักลงทุนหวังว่าคริสปี้ ครีมจะสามารถตอบคำถามได้คือบริษัทจะมีแนวทางในการรักษายอดขายเอาไว้ได้อย่างไร ในยุคที่ผู้คนให้ความสนใจกับสุขภาพมากขึ้น และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทน้ำตาล