ร้อนแรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่จริงๆ สำหรับบริษัทผลิตวัคซีนต้านโควิดชื่อดังโมเดอร์นา (NASDAQ:MRNA) ขาขึ้นที่ปรับตัวขึ้นมาเฉพาะปี 2020 ปีเดียว 450% ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่ออีกในปี 2021 และลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่ต้องแปลกใจหากเราจะเห็นว่าตอนนี้บริษัทมีมูลค่าตามตลาดเกือบจะแตะ $100,000 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ขนาดว่าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หุ้นโมเดอร์นายังสามารถวิ่งขึ้นได้อีก 5% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $246.92 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาเล็กน้อยมีราคาปิดอยู่ที่ $246.40
การเติบโตของบริษัทโมเดอร์นาที่ไม่อาจหยุดยั้ง ทำให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายนี้ถูกจัดขึ้นไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับบริษัทผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ระดับโลกอย่างซาโนฟี (NASDAQ:SNY) และแกล็กโซสมิธไคลน์ (NYSE:GSK) การถูกยกระดับขึ้นครั้งนี้ของโมเดอร์นานำมาซึ่งคำถามที่ว่า “แล้วหุ้นโมเดอร์นาจะขึ้นไปได้อีกไกลแค่ไหนจากตรงนี้?”
คำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์โรคระบาดที่เรากำลังเผชิญอยู่จะกินเวลาไปได้อีกนานเท่าไหร่ และยังขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทโมเดอร์นาในการพัฒนาวัคซีน mRNA ให้มีประสิทธิภาพต่อกรกับไวรัส (โดยเฉพาะโควิด) ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในสายตาของนักวิเคราะห์ตอนนี้กรอบยอดขายที่โมเดอร์นาที่คาดว่าจะสามารถทำได้ในระยะสั้นเป็นกรอบที่สูงและกว้างมาก ขึ้นอยู๋กับว่าจะหยิบปัจจัยไหนขึ้นมาวิเคราะห์
เท่าที่นักวิเคราะห์ของ investing.com ได้ไปทำการสำรวจมา นักวิเคราะห์หลายสำนักมีความเห็นตรงกันว่าหุ้นของโมเดอร์นาในตอนนี้อยู่ในสถานะ “น่าซื้อ” มีน้อยคนมากที่สวนกระแสและบอกว่าหุ้นโมเดอร์นาไม่น่าถือครอง ฝั่งที่สนับสนุนโมเดอร์นาบางคนยกเหตุผลขึ้นมาว่าในปี 2021 บริษัทโมเดอร์นามีกรอบการทำกำไรอยู่ในตัวเลขระหว่าง $13,000 - $22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้ามองไกลกว่านั้นอาจจะไม่สวยหรูเหมือนช่วงปีสองปีนี้แล้ว
คาเร็น แอนเดอเซ่น นักวิเคราะห์จาก Morningstar ให้ความเห็นว่า
“ตลาดวัคซีนจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในปีนี้ที่ตัวเลขยอดขาย $72,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากนั้นในปี 2022 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ $65,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2023 จะมีมูลค่าอยู่ที่ $8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มบริษัทผู้ผลิตวัคซีนอย่างโมเดอร์นาหรือไฟเซอร์ (NYSE:PFE) จะสามารถยืดระยะเวลาของยอดขายที่ลดลงได้มากแค่ไหน และขึ้นอยู่กับว่ามีคนต้องการวัคซีนเข็มที่สามมากน้อยเพียงใด ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะยังสามารถแข่งกับคู่แข่งในอนาคตที่เน้นตลาดกลุ่มที่เล็กลงได้มากแค่ไหน”
หุ้นโมเดอร์นาขึ้นถึงจุดพีคสุดแล้วใช่หรือไม่
สำหรับคำถามนี้ นักวิเคราะห์บางคนมีความเห็นว่าความสำเร็จของโมเดอร์นาในตอนนี้เหมือนกับบริษัทได้ข้ามไปในอนาคตและเอาความสำเร็จในช่วงอีกสามถึงห้าปีข้างหน้ามาก่อนในตอนนี้ ซึ่งสามารถตีความได้อีกอย่างหนึ่งว่าตอนนี้โมเดอร์นากำลังทำกำไรได้มากกว่าในอนาคตที่พวกเขาประเมินเอาไว้ประมาณ 10 เท่า
หากยึดตามคำวิเคราะห์ในพารากราฟก่อนหน้า หมายความว่าตอนนี้หุ้นของบริษัทโมเดอร์นาได้ผ่านจุดที่สูงที่สุดของบริษัทมาแล้ว และการปรับตัวขึ้นต่อนับจากนี้จะเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายมากขึ้น นักวิเคราะห์บางคนได้ยกกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัทอาลีเซียน (NASDAQ:ALXN) และกิลเลียด (NASDAQ:GILD) มาอธิบายเปรียบเทียบ
ในช่วงปลายปี 2013 บริษัทกิลเลียดเคยผลิตยาแก้โรคไวรัสตับอักเสบ C ออกมาวางจำหน่าย ความสำเร็จของยาตัวนี้ทำให้บริษัทมียอดขายสูงสุดอยู่ที่ $19,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2015 หลังจากนั้นพอมีคู่แข่งเกิดขึ้น ยอดขายของยาตัวนี้ก็ตกลง เช่นเดียวกันกับมูลค่าบริษัทในตลาด จากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ $180,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงมาเหลือ $100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทโมเดอร์นาเคยออกมาพูดเอาไว้เกี่ยวกับวิสัยทัศน์หลังยุคโควิด-19 ว่าเทคโนโลยีที่พวกเขามีในตอนนี้จะสามารถต่อยอดไปรักษาโรคอื่นๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่นรักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจ (RSV) หรือโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไซโตเมกาโลไวรัสที่ทำให้ผู้ป่วยมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ เหนื่อยล้า หรือปอดบวม (CMV) และอื่นๆ
สำหรับการลงทุนในบริษัทผู้ผลิตยาหรือวัคซีนนั้น ควรจะลงทุนกับบริษัทที่มียาหรือวัคซีนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มใช้สำหรับกรณีฉุกเฉินเยอะๆ (ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของวัคซีนฉุกเฉินต้านโควิด) จึงจะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการตามหายาหรือวัคซีนที่คิดว่าจะเป็น “นวัตกรรมเปลี่ยนโลก” นอกจากตัววัคซีนที่เราเห็นเป็นข่าวแล้ว วัคซีนอื่นๆ ของโมเดอร์นาก็ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นทดลองในมนุษย์ และยังมีอีกหลายตัวที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา
โดยสรุปแล้ว
หุ้นโมเดอร์นาถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ อย่างไรก็ตามอนาคตของบริษัทในตอนนี้เริ่มไม่แน่นอน ถ้ามองในเชิงของการผลิตวัคซีน หากยังไม่มีวัคซีนตัวใหม่ที่ดีกว่า ใช้และเก็บรักษาง่ายกว่า วันหนึ่งความสำเร็จนี้ก็จะไปอยู่กับบริษัทคู่แข่งแทน ส่วนในแง่ของราคาหุ้นนั้นเรามองว่าตอนนี้ราคาได้ขึ้นมาสูงเกินกว่ามูลค่าความเป็นจริงในตลาดแล้ว