ตลาดพลังงานกลับเข้าสู่สภาวะที่ไม่แน่นอนอีกครั้งหลังจากการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (OPEC+) ไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องของโควตาที่จะผลิตน้ำมันเพิ่มหรือไม่ในเดือนสิงหาคม สำหรับนักลงทุนในหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทพลังงาน นี่คือสัญญาณของความไม่แน่นอนท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่น้ำมันยังคงมีบทบาทสำคัญ
ความต้องการพลังงานที่กลับมาหลังจากการฉีดวัคซีนต้านโควิดทำให้ราคาน้ำมันในปีนี้ได้ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 60% ระดับอุปสงค์ในตอนนี้นักวิเคราะห์หลายคนได้ประเมินว่านี่เป็นระดับที่เกือบจะเทียบเคียงช่วงก่อนโควิดในปี 2019 แล้ว เพราะอย่างนั้นประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปกจึงมีความต้องการที่จะผลิตน้ำมันเพื่อขายให้ได้มากขึ้น แต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะมีสัญญาที่ทำไว้กับกลุ่ม OPEC อยู่ และนำมาซึ่งความขัดแย้งในวันนี้ระหว่างซาอุดิอาระเบียที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม OPEC และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
สำนักข่าวบลูมเบิร์กวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นสัญญาณของความล้มเหลวในฐานะ “กลุ่มพันธมิตร”
“ถ้าหากเป็นชาติอื่นๆ ทะเลาะกัน เราคงจะไม่ต้องสนใจประเด็นของ OPEC ก็ได้ แต่เพราะครั้งนี้คือความไม่ลงรอยกันระหว่างสองประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกลุ่ม เรื่องนี้จะส่งผลถึงภาพลักษณ์ของกลุ่ม OPEC ในสายตาชาวโลกและความรับผิดชอบที่ OPEC อ้างว่ามีต่อตลาดน้ำมัน พฤติกรรมเช่นนี้ยิ่งมีแต่ส่งเสริมให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจากเดิมก็ขึ้นเพราะเงินเฟ้ออยู่แล้ว”
ความไม่แน่นอนนี้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) และเชฟรอน (NYSE:CVX) หุ้นเหล่านี้พึ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาจากภัยโรคระบาดในปีที่แล้ว และกำลังอยู่ในช่วงระหว่างฟื้นฟูงบการเงินของตัวเอง
น้ำมันดิบเบรนท์จะสามารถขึ้นถึง $100 ต่อบาร์เรลได้หรือไม่
ถึงแม้ว่าภาพความขัดแย้งนี้จะส่งผลร้ายต่อภาพลักษณ์ในการบริหารทรัพยากรน้ำมันระดับโลก แต่สำหรับนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นนั้น ช่วงเวลาแห่งะความไม่แน่นอนคือโอกาสดีที่ราคาน้ำมันซึ่งถือว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ตัวหนึ่งจะได้โอกาสปรับตัวขึ้นต่อ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ต่างจากภาวะสงครามที่ไม่ว่าจะรุนแรงมากหรือน้อย ราคาน้ำมันก็จะปรับตัวขึ้นเอาไว้ก่อน หากพิจารณาในมุมนี้ หมายความว่าหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันก็จะปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
แบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะสามารถขึ้นแตะ $100 ต่อบาร์เรลได้ภายในช่วงฤดูร้อนปี 2022 นักวิเคราะห์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าตอนนี้ BofA ไม่ประเมินหุ้นของบริษัทน้ำมันตัวไหนให้อยู่ในระดับ “ทำผลงานได้ไม่ดี” เลย
Evercore ISI บริษัทเอกชนทางด้านการเงินแห่งหนึ่งวิเคราะห์ภาพรวมของบริษัทน้ำมันทั้งหมดเป็นขาขึ้น พร้อมทั้งปรับราคาเป้าหมายของหุ้นเหล่านั้นขึ้นอีกด้วย
“หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตน้ำมันต้องยอมลดต้นทุนทุกอย่างลงเป็นระยะสามปีติดต่อกัน ตอนนี้ E&P ของหุ้นบริษัทชื่อดังอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันในระยะสั้นแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของ investing.com เราไม่แนะนำให้ตามขาขึ้นอย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนบอก เพราะกลุ่ม OPEC ไม่มีทางยอมที่จะปล่อยราคาน้ำมันขึ้นไปจนถึงจุดที่ทำร้ายกำไรของพวกเขาเอง และส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางช่วงเวลาที่แรงกดดันเกี่ยวกับเงินเฟ้อมาแรงมากๆ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ที่สำคัญ เชื่อได้เลยว่าประเทศพันธมิตรในกลุ่มโอเปกคงไม่อยากให้เกิดดราม่าจนสหรัฐอเมริกาหรือชาติมหาอำนาจอื่นๆ ต้องออกโรงมากดดัน ในประเด็นที่ไม่ยอมเพิ่มกำลังการผลิตทั้งๆ ที่มีน้ำมันอยู่ในคลังอย่างมหาศาลอยู่แล้ว โฆษกของทำเนียบขาวได้ออกมากล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า
“ทำเนียบขาวได้พูดคุยกับกลุ่ม OPEC โดยตรงเพื่อให้ได้ข้อตกลงร่วมกัน รวมถึงการผลิตน้ำมันที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยระบบอุปสงค์อุปทานของโลกให้เดินหน้าต่อไปได้”
โดยสรุปแล้ว
การที่กลุ่ม OPEC+ ยังไม่ได้ข้อสรุปร่วมกันจะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มน้ำมันสามารถปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นน้ำมันเพิ่มท่ามกลางสภาวะที่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าข้อสรุปของเหตุการณ์นี้จะออกมาในรูปแบบใด