ใครก็ตามที่เคยพูดว่าเมื่อเศรษฐกิจอเมริกาฟื้น หุ้นเทคโนโลยีก็เป็นได้แค่ตัวสำรอง ผมอยากจะให้คนๆ กลับไปดูราคาหุ้นของไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ในตอนนี้มากเพราะล่าสุดราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้อีกแล้ว
บริษัทไมโครซอฟต์พึ่งสร้างประวัติศาสตร์ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยการเป็นบริษัทที่สองที่สามารถมีมูลค่าตลาดสูงถึง $2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐได้สำเร็จ ตามหลังบริษัทคู่แข่งอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) การที่บริษัทสามารถมีมูลค่าตลาดสูงได้ขนาดนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นล่าสุดเมื่อวานนี้ทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ที่ $271.40
ทั้งๆ ที่หุ้นไมโครซอฟต์ปรับตัวขึ้นมาได้สูงขนาดนี้ (ตลอดทั้งปี 2021 สูงขึ้น 20% และในปี 2020 สูงขึ้น 40%) นักวิเคราะห์ก็ยังเชื่อว่าหุ้นไมโครซอฟต์ยังจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้อีก ในปีนี้ขาขึ้นของหุ้นไมโครซอฟต์สามารถทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นของแอปเปิลและอะเมซอน (NASDAQ:AMZN) ผลงานทั้งหมดนี้ต้องยกเครดิตให้ CEO คนเก่งนายสัตยา นาเดลลา ที่พาบริษัทไมโครซอฟต์เข้าสู่ยุคใหม่และทำยอดขายเป็นกอบเป็นกำได้จากการทำซอฟต์แวร์ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์
สิ่งที่ทำให้หุ้นไมโครซอฟต์เป็นที่ดึงดูดสำหรับนักลงทุนเป็นอย่างมากคือความเชื่อที่ว่าหุ้นไมโครตซอฟต์สามารถเป็นหุ้นเติบโตในระยะยาวได้ ตราบใดที่พวกเขายังมุ่งมั่นพัฒนาระบบแมคขีนเลิร์นนิ่งและเทคโนโลยีคลาวด์ เคท ไวสส์ นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ สนับสนุนให้ซื้อหุ้นไมโครซอฟต์และปรับราคาเป้าหมายของหุ้นขึ้นเป็น $300 โดยให้เหตุผลว่า
“ถึงแม้ว่าตอนนี้ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากความกังวลเงินเฟ้อ ว่าจะกระทบต่อการเติบโตของกำไรปันผลต่อหุ้น (EPS) นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่ไม่ได้กระทบต่อการเติบโตใน EPS ระยะยาวของไมโครซอฟต์”
นอกจากเคทแล้ว นักวิเคราะห์ในวอลล์ สตรีทเกิน 90% ยังแนะนำให้ซื้อหุ้นไมโครซอฟต์ ราคาเป้าหมายของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่สูงจากระดับราคาปัจจุบัน 11%
ขาขึ้น 400% ของหุ้นไมโครซอฟต์
นอกจากความเก่งกาจของคุณสัตยาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้หุ้นไมโครซอฟต์เติบโตขึ้น 426% ในช่วงห้าปีล่าสุดต้องยกให้การทำธุรกิจคลาวด์ ตั้งแต่คุณสัตยาขึ้นมาดำรงตำแหน่ง CEO เขาได้ลงทุนเงินไปมากกว่า $45,000 ล้านเหรียญไปกับการควบรวมบริษัท ยกตัวอย่างเช่น LinkedIn, Zenimax และ GitHub
และการเดิมพันครั้งนี้ของไมโครซอฟต์ก็ได้ผล ธุรกิจคลาวด์ที่มีชื่อว่า ‘Microsoft’s Intelligent Cloud’ ในปี 2020 สามารถทำกำไรให้บริษัทได้มากถึง 33.8% เพิ่มขึ้นจาก 31% ในปี 2019 จนทำให้ไมโครซอฟต์ได้รับตำแหน่งเป็นบริษัทผู้วางโครงสร้างพื้นฐานให้กับซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้การเติบโตของผลกำไรก็เพิ่มขึ้น 24% ในปีที่แล้ว เทียบกับกำไรที่ได้จากธุรกิจ Productivity และ Business Processes ที่เติบโต 13% และ 6% จาก Microsoft’s More Personal Computing
CEO ของไมโครซอฟต์กล่าวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า
“การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไม่ได้ทำให้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของมนุษยชาติช้าลงเลย กลับกันไวรัสยิ่งทำให้การปรับตัวต้องทำให้ได้ ทำให้เป็นมากยิ่งขึ้น คุณสามารถสังเกตได้จากเทรนด์ที่คนวัยทำงานและนักเรียนเป็นล้านคนต้องหันมาใช้ Microsoft Team ของเราเพื่อติดต่อสื่อสาร หรือแม้แต่การเล่นเกม Xbox สมัยนี้ที่สามารถทำผ่านคลาวด์ได้”
โดยสรุปแล้ว
ตราบใดที่ไมโครซอฟต์ยังเดินหน้าขยายอาณาจักร มอบพื้นที่ทางเศรษฐกิจบนโลกดิจิทัลให้แก่ผู้ที่ต้องการ ตราบนั้นหุ้นไม่โครซอฟต์ก็ไม่มีทางหยุดที่จะเติบโต การพัฒนา AI การพัฒนาแพลตฟอร์มที่ต้องเชื่อมต่อกันด้วยคลาวด์ของไมโครซอฟต์ ยิ่งมีแต่จะทำให้ไมโครซอฟต์ครองโลกไปเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ไมโครซอฟต์ก็คงจะสะกดคำว่า “จุดสูงสุด” ไม่เป็นไปอีกนาน