เพียงไม่นานเราก็ผ่านมาถึงครึ่งปีของ 2021 กันแล้ว ถึงแม้ว่าไตรมาสที่สองจะไม่ช่วงเวลาที่สวยงามสำหรับดัชนีหลักอย่างเอสแอนด์พี 500 แนสแด็ก 100 และดาวโจนส์เท่าไหร่ แต่ทั้งสามดัชนีก็ยังสามารถสร้างขาขึ้นได้ 14%, 12% และ 12% ตามลำดับ
เดือนกรกฎาคมที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้นอกจากจะเป็นการบอกลาไตรมาสที่ 2 เพื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 แล้ว ยังเป็นสัญญาณบอกกับตลาดลงทุนด้วยว่าพวกเราได้เดินทางมาถึงช่วงครึ่งปีหลังแล้ว เราอาจจะได้เห็นนักลงทุนบางส่วนตัดสินใจปิดคำสั่งซื้อขายเพื่อทำกำไร และออกจากตลาดไปตั้งหลักก่อน นั่นจึงเป็นที่มาของบทความแนะนำกองทุน ETF ในวันนี้ว่าจะมีกองทุนไหนที่น่าซื้อในช่วงการย่อตัวระยะสั้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
1. iShares Micro-Cap ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $153.83
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $83.29 - $159.56
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.75%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.60% ต่อปี
กองทุน ETF iShares Micro-Cap (NYSE:IWC) เป็นกองทุนที่เน้นหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็ก หมายความว่ากองทุนนี้จะอ้างอิงราคาตามดัชนีรัสเซล 2000 ซึ่งคำนวณราคาจากหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก 2,000 บริษัท และเป็นดัชนียอดนิยมสำหรับนักลงทุนภายในประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันกองทุน IWC ถือครองหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก 1,283 บริษัท เริ่มทำการซื้อขายตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2005 มีมูลค่าสินทรัพย์รวมแล้วทั้งสิ้น $1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนของหุ้นที่ถือครองถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือกลุ่มเฮลท์แคร์ (26.23%) ตามมาด้วยกลุ่มการเงิน (18.35%) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (16.57%) เทคโนโลยีสำหรับข้อมูลข่าวสาร (11.77%) และกลุ่มอุตสาหกรรม (10.99%)
หุ้นสิบอันดับแรกที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 9% ของหุ้นในกองทุนทั้งหมด หุ้นบริษัทชื่อดังที่ IWC ถือครองได้แก่ GameStop (NYSE:GME) Digital Turbine (NASDAQ:APPS) Intellia Therapeutics (NASDAQ:NTLA) Overstock.com (NASDAQ:OSTK) Magnite (NASDAQ:MGNI)
ข้อดีของการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดอยู่ในระดับกลางๆ คือเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต และในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับปัญหา หุ้นกลุ่มนี้ก็ไม่ถือว่าเสี่ยงเกินไปที่จะถือครองจนผ่านวิกฤตไปได้ ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน IWC ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 84% คืนเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นมากกว่า 30% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 17.28 และ 2.37 ตามลำดับ ผู้ที่สนใจสามารถรอซื้อ IWC ได้ที่ระดับราคา $145 หรือต่ำกว่านั้น
2. ProShares Pet Care ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $81.67
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $48.68 - $81.68
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.21%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.50% ต่อปี
สำนักงานสถิติเอกชนที่เชื่อถือได้แห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเผยผลสำรวจว่าชาวอเมริกันในปี 2020 ใช้เงินไปกับสัตว์เลี้ยงแสนรักคิดเป็นมูลค่า $103,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2021 ผู้เชี่ยวชาญก็ประเมินตัวเลขนี้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น $109,600 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ผลสำรวจยังบอกด้วยว่าชาวอเมริกัน 67% หรือ 85 ล้านครัวเรือนมีสัตว์เลี้ยงเอาไว้ในครอบครอง
ด้วยเหตุผลนี้เราจึงขอแนะนำกองทุน ETF ที่ลงทุนกับวงการสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะอย่าง ProShares Pet Care (NYSE:PAWZ) กองทุนนี้เริ่มต้นเทรดมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2018 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะแนวโน้มที่คนจะมีสัตว์เลี้ยงเพื่มขึ้น
ปัจจุบัน PAWZ ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 31 ตัว 71% ของหุ้นที่ถือครองเป็นบริษัทในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร 15.42% สวิตเซอร์แลนด์ 4.32% และเยอรมัน 2.39% อ้างอิงราคาจากดัชนี FactSet Pet Care มีสินทรัพย์รวมทั้งหมด $268 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่ PAWZ ถือเอาไว้ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงอยู่ในวงการคนเลี้ยงสัตว์ ยกตัวอย่างเช่น Idexx Laboratories (NASDAQ:IDXX) Zoetis (NYSE:ZTS) Freshpet (NASDAQ:FRPT) และ Chewy (NYSE:CHWY)
ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน PAWZ ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 13% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 35.10 และ 6.13 ตามลำดับ สำหรับผู้ที่สนใจถือครองในระยะยาว ให้รอ PAWZ ปรับตัวลดลงมายัง $75 ก่อนแล้วจึงเข้าซื้อ