ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าสินทรัพย์ที่ราคา 5 เซนต์ในปี 2010 เพิ่มขึ้นเป็น 65,500 ดอลลาร์ในปี 2021 ได้อย่างไร จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดมานานกว่าสี่ทศวรรษ ฉันไม่เคยได้เห็นการปรับตัวขึ้นอย่างมหาศาลของสินทรัพย์แบบนี้มาก่อน ยกเว้นก็เพียงแต่ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจประสบปัญหาภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
คริปโตเคอเรนซี่ถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเกิดใหม่ ที่มีจุดประสงค์เพื่อทำให้โลกการเงินเสรี ตัดตัวกลางที่ไม่จำเป็นออกไปและคงเหลือไว้ซึ่งมูลค่าที่เกิดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกวันนี้เราจึงได้ยินแต่ข่าวภาครัฐคอยเอาจริงเองจังในการปราบปรามคริปโตฯ เพราะพวกเขารู้ดีว่านี่คือภัยคุมคามอำนาจทางการเงินที่เอาไว้ต่อรองกับประชาชนที่มีจำนวนมากกว่าของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนเหรียญที่มีอยู่อย่างจำกัด เงื่อนไขนี้ทำให้สกุลเงินอย่างบิทคอยน์และสกุลเงินอื่นๆ มากกว่า 10,600 สกุลเงินสามารถขึ้นมาถึงจุดอิ่มตัวได้ในปี 2021 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วราคาซื้อขาย บิทคอยน์ล่วงหน้ามีราคาปิดอยู่อยู่ที่ $33,500 ในขณะที่อีเธอเรียมล่วงหน้ามีราคาปิดอยู่ที่ $1,941.75 ในวันที่ 25 มิถุนายน นี่คือราคาที่ปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดของบิทคอยน์ $65,500 และอีเธอเรียม $4,400
เพราะสกุลเงินดิจิทัลเป็นสินทรัพยที่มีจำนวนจำกัด ดังนั้นระบบอุปสงค์และอุปทานจึงสามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับวงการนี้ ไม่ว่าคุณจะถือครองสกุลเงินดิจิทัลด้วยเจตจำนงที่ต้องการแสดงออกถึงเสรีภาพ ถือครองไว้เพื่อทำกำไร คุณก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่สินทรัพย์นี้หมดความต้องการไปอย่างไรเหตุผลได้ ยิ่งสภาพคล่องในตลาดมีมากเท่าไหร่ คุณต้องไม่ลืมว่านักลงทุนมักจะย้ายเงินลงทุนเพื่อไปหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเสมอ
สำหรับผู้ที่ตั้งใจเข้ามาเพื่อจะเป็นนักลงทุน ข้อผิดพลาดประการหนึ่งที่ผมมักจะเห็นเป็นประจำคือนักลงทุนหน้าใหม่มักจะพยายามหาจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดที่สวนกับเทรนด์หลักอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อที่ว่าซื้อก่อนมีโอกาสทำกำไรก่อน ผมอยากจะขอเตือนเอาไว้ ณ ที่ตรงนี้เลยว่าหากปราศจากความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการยอมรับความเสี่ยงแล้ว วิธีคิดแบบนี้คือวิธีเอาเงินไปเผาในตลาดเล่น ผมเห็นนักลงทุนหลายต่อหลายรุ่นแล้วที่ใส่สูทเข้ามาในตลาดแต่ต้องเดินตัวเปล่ากลับออกไป ด้วยชุดความคิดแบบนี้
เทรนด์คือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน
ประโยคนี้คือคำพูดสุดคลาสสิกที่ไม่ว่าเราจะศึกษาด้วยตัวเองหรือไปเป็นศิษย์ของอาจารย์สำนักไหนก็มักจะได้ยินเป็นประจำ เทรดเดอร์และนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จรู้ซึ่งถึงคำๆ นี้ดี นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2017 ในตอนที่ CME พึ่งเปิดให้ลงทุนในบิทคอยน์ล่วงหน้าใหม่ๆ ได้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การเปลี่ยนเทรนด์” อยู่ทั้งหมด 5 ครั้ง
ที่มา: CQG
กราฟรายเดือนรูปนี้ได้ไฮไลท์ช่วงเวลาทั้ง 5 เอามาให้เราดู ซึ่งการตั้งเทรนด์ทั้ง 5 ครั้งนั้นประกอบด้วย
1. ช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2017 ถึงธันวาคม 2018 เป็นช่วงที่บิทคอยน์ร่วงลงมาจาก $20,650 ลงมาเหลือเพียง $3,120
2. ช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2018 ถึงมิถุนายน 2019 เป็นช่วงเวลาที่บิทคอยน์ขึ้นจาก $3,120 ไปยัง $13,915
3. ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน 2019 ถึงมีนาคม 2020 เป็นช่วงเวลาที่บิทคอยน์ลงมาจาก $13,915 ถึง $4,210
4. ช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 2020 ถึงเมษายน 2021 เป็นช่วงเวลาที่บิทคอยน์ขึ้นจาก $4,210 ถึง $65,520
5. ช่วงระหว่างเดือนเมษายน 2021 ถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่บิทคอยน์ลงมาจาก $65,520 ลงมาถึง $28,800 ในขณะที่กำลังเขียนบทความอยู่
แน่นอนว่าไม่มีใครเถียงว่าแนวโน้มล่าสุดของบิทคอยน์คือขาลง ไม่ว่าจะด้วยการวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐานหรือเทคนิคก็ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าบิทคอยน์จะกลับขึ้นมาเป็นขาขึ้นได้อีกเมื่อไหร่
วัฐจักรเดิมๆ ในการตามหา “นิวบิทคอยน์”
ช่วงเวลาแห่งการพักฐานนี้ถือเป็นช่วงเวลาวัดใจอย่างหนึ่ง ในช่วงนี้เราจะได้เห็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยพูดว่าบิทคอยน์คืออนาคตออกมาสาปแช่งหรือกลับคำพูดว่าบิทคอยน์คือเรื่องไม่จริง และในขณะเดียวกัน ตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นกาลเวลาพิสูจน์ความศรัทธาของเหล่าสาวกว่าเชื่อมั่นในโลกแห่งเจตจำนงเสรีมากขนาดไหน แต่ในฐานะนักลงทุน สิ่งที่ผมกลัวที่สุดในเวลานี้คือการลงทุนเพื่อหา “นิวบิทคอยน์” หรือ “นิวอีเธอเรียม”
เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่คือช่วงเวลาที่ทุกคนอยากจะกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ที่จะได้ย้อนกลับไปเยาะเย้ยคนที่เคยดูถูกตัวเองว่า “ฉันคิดถูก” การนำเงินไปกระจายลงทุนในสกุลเงินเล็กๆ ด้วยความหวังเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเก็งกำไร จากสกุลเงินมากกว่า 10,000 สกุลเงิน กลับมีเพียงไม่ถึง 100 สกุลเงินดิจิทัลเท่านั้นที่เชื่อถือได้ (อ้างอิงจากมูลค่าตลาด)
ต้องขอบอกไว้ก่อนอย่างหนึ่งในฐานะที่ผมเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์มาก่อนว่า...การเทรดและการลงทุนไม่เหมือนกัน เหมือนกับเสือและสิงโตที่แม้จะเป็นสัตว์กินเนื้อเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน เทรดเดอร์คือนักลงทุนที่เชื่อมั่นในเทรนด์ และเชื่อว่าสภาพคล่องคือเงื่อนไขในการเลือกลงทุนที่สำคัญ พวกเขาเก่งในเรื่องการเข้าออกตลาดในช่วงเวลาสั้นๆ ในขณะที่นักลงทุนคือคนที่เชื่อในมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ พวกเขาจะลงทุนทันทีที่เห็นโอกาสและถือสินทรัพย์ประเภทนั้นๆ เอาไว้เป็นเวลานาน
จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ระบุเอาไว้เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนว่าสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐมีอยู่เพียง 64 สกุลเงินเท่านั้น บิทคอยน์คืออันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยมูลค่าตลาด $613,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยอีเธอเรียมเป็นอันดับสอง มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $211,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และอันดับสามคือเธเธอร์สกุลเงินดิจิทัลประเภทสเตเบิ้ลคอยน์ (stable coins) ด้วยมูลค่า $62.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับนักลงทุนระยะยาว พวกเขาจะถือสกุลเงินบิทคอยน์ด้วยความเชื่อที่ว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ดังนั้นสิ่งทีั่พวกเขาจะทำในตอนนี้คือทยอยเก็บสะสมบิทคอยน์ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ราคายังปรับตัวลดลงมา ส่วนเทรดเดอร์นั้น พวกเขาจะเข้าไปเทรดในบิทคอยน์และอีเธอเรียมทุกวัน จากการเฝ้ามองดูแนวรับแนวต้านในวันนั้นเพื่อหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสม ดังนั้นเทรดเดอร์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าโต้คลื่นอยู่กับความเสี่ยงทุกวัน
หมั่นสังเกตบรรยากาศในตลาดลงทุนโดยไม่เอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
อีกหนึ่งข้อผิดพลาดที่นักลงทุนมือใหม่มักจะทำอยู่เสมอคือพวกเขามีความเชื่อว่าสามารถเอาชนะตลาดได้ ลองคิดเป็นอัตราส่วนดูนะครับว่าคนหนึ่งคนมีความคิดที่จะเอาชนะตลาดที่มีคนมารวมกันมากกว่าเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านคน ไม่ต่างอะไรกับการกำลังสู้ด้วยอัตราส่วน 1M:1 ดังนั้นสิ่งแรกที่นักลงทุนมือใหม่ควรมีคือความเคารพที่มีต่อธรรมชาติ ซึ่งนั่นก็คือเทรนด์
นอกจากการเทรดตามเทรนด์จะเป็นเรื่องที่ง่ายแล้ว (เพียงคุณเปิดกราฟในช่วงเวลา 4ชั่วโมงขึ้นไป แล้วดูว่าเทรนด์กำลังไปทางไหน) ในขณะเดียวกัน คุณยังไม่ต้องเสียเวลากับการมานั่งคิดว่าตลาดกำลังจะไปทางไหนกันแน่ เห็นกราฟกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ก็เทรดตามทิศทางนั้นโดยไม่เอาความคิดของตัวเองมาเกี่ยวข้อง
ดังนั้นบทสรุปของผมที่มีต่อสถานการณ์ในบิทคอยน์และอีเธอเรียมที่ลงมาจากจุดสูงสุดในเดือนเมษายน-พฤษภาคม คือการเทรดตามแนวโน้มขาลง