หากคุณเป็นนักลงทุนในตลาดน้ำมัน เชื่อว่าข่าวใหญ่ที่สุดที่กำลังติดตามอยู่ในตอนนี้คือสถานการณ์ความคืบหน้าของเหตุการณ์ท่อขนส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดนโจมตีทางไซเบอร์ ‘Colonial Pipeline’ ท่อส่งน้ำมันเบนซินและดีเซลที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ต้องถูกหยุดดำเนินการทั้งสาย (ตั้งแต่เท็กซัสถึงนิวเจอร์ซีย์) หลังจากถูกโจมตีทางไซเบอร์ (หรือโดนแฮกเกอร์โจมตี) ท่อขนส่งน้ำมันสายนี้ลำเลียงน้ำมันได้สูงถึง 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน มีความยาว 8,850 กิโลเมตร คิดเป็นปริมาณการใช้น้ำมัน 45% ของผู้ที่อาศัยอยู่ทางด้านชายฝั่งตะวันออกของประเทศ
สถานการณ์ล่าสุดตอนนี้พบว่าท่อส่งน้ำมันสายย่อยบางแห่งสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นท่อส่งน้ำมันหลักทั้งสี่สายก็ยังคงอยู่ในสภาวะออฟไลน์อยู่ บริษัท Colonial Pipeline ได้ออกมาประกาศเมื่อวันพุธว่าจะพยายามทำให้ท่อส่งน้ำมันกลับมาใช้งานให้ได้โดยเร็ว และปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่าไถ่ให้กลุ่มแฮกเกอร์ที่โจมตีและขโมยข้อมูลสำคัญของบริษัทไป ในบทความนี้เราจะมาดูความเป็นไปได้ที่อาจส่งผลกระทบถึงราคาน้ำมันดิบ
เมื่อไม่มีน้ำมันให้ใช้ ราคาน้ำมันก็ต้องสูงขึ้นพร้อมกับความหวั่นวิตกของผู้คน
เมืองสำคัญทั้งหลายที่พึ่งพาท่อส่งน้ำมันสายนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น แอตแลนต้าของรัฐจอร์เจีย ชาร์ล็อตต์และราลีของนอร์ท แคร์โรไลนา แทลลาแฮสซีและเพนซาโคลาของฟลอริด้า นอกจากพื้นที่ที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ราคาน้ำมันในประเทศทางฝั่งตะวันออกได้ปรับตัวขึ้นมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตอนนี้ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยมีราคาอยู่ที่ $3.01 ต่อแกลลอน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 ที่ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยของอเมริกาเพิ่มขึ้นเกิน $3 ต่อแกลลอน
สิ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่การถูกโจมตีทางไซเบอร์ แต่เป็นระบบขนส่งที่กำลังจะเป็นอัมพาตและความกลัวของผู้คน ผู้อ่านต้องเข้าใจก่อนว่าโดยปกติแล้วพื้นที่ในแถบนั่นไม่เคยต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน พวกเขาเคยแต่ประสบปัญหามีน้ำมันเยอะเกินไป
สิ่งที่คนในพื้นที่กำลังทำตอนนี้คือออกจากพื้นที่แล้วไปหาซื้อน้ำมันจากพื้นที่อื่นมากักตุนไว้ เมื่อผู้คนทำเช่นนี้มากเข้า ปัญหาขาดแคลนน้ำมันก็เริ่มเกิดกับพื้นที่ใกล้เคียง ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสำนักวิเคราะห์คล้ายกันว่าราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยทั้งประเทศอาจขึ้นแตะ $3 ต่อแกลลอนได้ภายในช่วงหน้าร้อนนี้เพราะโดยปกติแล้วชาวอเมริกันมักจะต้องการน้ำมันเยอะเป็นพิเศษอยู่แล้วเพื่อท่องเที่ยวในหน้าร้อน
คำถามสำคัญก็คือว่าเหตุการณ์ไหนจะเกิดขึ้นระหว่างราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ต่อไปจนกระทั่งถึงช่วงหน้าร้อนเลยแม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายแล้ว หรือ ราคาน้ำมันจะปรับตัวลงมาก่อนตอนสถานการณ์คลี่คลายและจะปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูร้อน นักลงทุนหลายคนเชื่อว่าเหตุการณ์ในแบบที่หนึ่งจะเกิดขึ้น เพราะการแก้ไขปัญหาที่เกิดกับท่อส่งน้ำมันต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์ (ตามที่คาดการณ์กันเอาไว้) ซึ่งก็ดูเหมือนว่าหน้าร้อนจะมาถึงแล้วพอดี
กราฟราคาน้ำมันโดยภาพรวมยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ในขณะที่ชาวอเมริกันฝั่งตะวันออกเริ่มที่จะซื้อน้ำมันมาสะสมกันแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่ากราฟราคาน้ำมันดิบตลอดทั้งสัปดาห์แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวสำคัญเลย ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังคงวิ่งอยู่ต่ำกว่า $70 ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบWTI กลับปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า $65 ต่อบาร์เรล
ดูเหมือนว่าสาเหตุจริงๆ ที่พาราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาไม่ใช่สถานการณ์ท่อขนส่งน้ำมันในสหรัฐฯ แต่เพราะรายงานคาดการณ์ความต้องการน้ำมันดิบจากกลุ่ม OPEC ที่ระบุว่าปีนี้ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้นอีก 200,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์ท่อขนส่งน้ำมันถูกโจมตีจะไม่มีผลอะไรตามมาเลย
บริษัทผู้รับผิดชอบในขั้นตอนกลั่นน้ำมันที่อยู่ตามคาบสมุทรกัลฟ์ของสหรัฐอเมริกาจะลดกำลังการผลิตลงเพราะไม่มีที่สำหรับกักเก็บน้ำมัน โดยปกติแล้วเมื่อผลิตน้ำมันออกมา บริษัทเหล่านี้จะส่งน้ำมันขึ้นฝั่งผ่านท่อส่งน้ำมัน Colonial Pipeline เลย
โรงกลั่นในพอร์ตอาร์เทอร์ เท็กซัสและลุยเซียนาจะได้รับผลกระทบอย่างหนักเนื่องจากโรงกลั่นที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกมีทางเลือกในการส่งผลิตภัณฑ์ไปยังมิดเวสต์ ตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบันโรงกลั่นฯ เหล่านี้ได้ปรับลดกำลังการผลิตฯ ไปแล้ว 13% คิดเป็น 4.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรืออาจจะลดกำลังการผลิตฯ ลงอีก 15% อย่าลืมว่าโดยปกติแล้วโรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้จะต้องเร่งกำลังการผลิตให้ขึ้นถึงขั้นสูงสุดเพื่อรองรับความต้องการน้ำมันในช่วงหน้าร้อน
การลดกำลังการผลิตครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดพลังงานระยะสั้นของ EIA ที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์หน้า โดยปกติแล้วถ้าปริมาณน้ำมันดิบที่ถูกส่งเข้าไปเก็บในคลังลดลง นั่นจะหมายถึงความต้องการน้ำมันดิบลดลง แต่ถ้าบริษัทผู้กลั่นน้ำมันลดกำลังการผลิตลง น้ำมันที่อยู่ในคลังก็จะถูกนำมาใช้มากขึ้น หลังจากนั้นเราจะได้เห็นปริมาณน้ำมันดิบคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ก่อนที่เหตุการณ์แฮกท่อส่งน้ำมันจะเกิดขึ้น ตอนแรกบริษัทผู้ผลิตน้ำมันมีแผนจะเก็บน้ำมันสองล้านบาร์เรลเอาไว้ที่เก็บน้ำมันลอยน้ำที่อ่าวเม็กซิโก แต่เพราะคิดว่าคงไม่มีสถานการณ์ผิดปกติใดเกิดขึ้น บริษัทผู้ผลิตจึงเปลี่ยนแผน ไม่เก็บน้ำมันสำรองเอาไว้ที่อ่าวเม็กซิโก
ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนน้ำมันต้องจับตาเอาไว้คือการแก้ปัญหาของแต่ละรัฐว่าจะจัดการกับระบบขนส่งสาธารณะอย่างไรเมื่อโรงกลั่นน้ำมันลดปริมาณการผลิตน้ำมันลง ตอนนี้ไม่มีใครตอบได้ว่าเหตุการณ์นี้จะคลี่คลายเมื่อไหร่ เพราะไม่เคยมีกรณีศึกษาประเภทนี้เกิดขึ้นมาก่อน