แม้ฉากหน้าตอนนี้จะดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้เร็ว แต่ถ้าได้มองเข้ามาดูหลังบ้านแล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็เริ่มที่จะใช้คำว่า ‘กังวล’ ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ราคาสินค้าไม้แปรรูปได้ปรับตัวขึ้นมาจากความต้องการต่อเติมที่อยู่อาศัย หลังจากนั้นก็เป็นราคาทองแดงที่ปรับตัวขึ้นมาเพราะกระแสรถยนต์ไฟฟ้า และตอนนี้ก็มาถึงคิวของแร่เหล็ก
ตอนนี้ราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างในอเมริกากำลังปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าล้านล้านเหรียญเพื่อต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับออกมาบอกว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เราอาจจะได้เห็นอัตราเงินเฟ้อทะยานขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่ยุค ‘เดอะ เกรท รีเซสชัน’ (The Great Recession)
อ้างอิงจากตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2021 จะเห็นว่าเศรษฐกิจได้ขยายตัวมากถึง 6.4% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว (ซึ่งเป็นช่วงที่ก่อนโควิดจะเข้า) พบว่ามีตัวเลข GDP เพียง 3.5% ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดการณ์เอาไว้ว่าการเติบโตของตัวเลข GDP ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 6.5% แต่สิ่งที่ธนาคารกลางไม่ได้บอกกับนักลงทุนโดยตรงก็คือ...ปัญหาที่กำลังจะตามมาจากภาวะเงินเฟ้อ
ขออนุญาตอ้างอิง (อีกครั้ง) ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (FOMC) ได้คาดการณ์ว่าอัตราการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดของอัตราเงินเฟ้อจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4% ในปี 2021 และ 2.1% ในปี 2023 ที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ พูดอยู่เสมอว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะสามารถขึ้นเกิน 2% ได้บ้างเป็นครั้งคราว
ปัญหาของตลาดลงทุนสหรัฐฯ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเหล่าผู้วางนโยบายคิดเช่นไร แต่อยู่ที่ว่านักลงทุนวอลล์ สตรีทไม่เคยเชื่อคำพูดของประธานเฟดเลย พวกเขายังคงเชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อที่กำลังจะมาถึงนั้นจะไปไกลเกินกว่าที่สำนักการเงินชื่อดังคาดการณ์ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังแอบเชื่อว่าหากเงินเฟ้อเกิดขึ้นจริง เฟดก็จะต้องรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างไม่มีทางเลือก และจะเป็นสิ่งที่เฟดจะทำก่อนลดวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลด้วยซ้ำ
นี่คือปัญหาทางเศรษฐกิจที่กำลังส่งผลกระทบต่อตลาดลงทุนในสหรัฐอเมริกา แต่ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าอัตราเงินเฟ้อที่ทุกคนกำลังพูดถึงกัน ได้ทำอะไรกับสินค้าที่เป็นวัสดุก่อสร้างอย่างไม้แปรรูป ทองแดงและแร่เหล็กไปแล้วบ้าง
ไม้แปรรูปอาจทะยานขึ้นแตะ $2,000
ไม้แปรรูปคือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีบทบาทสำคัญกับการก่อสร้างบ้านในสหรัฐอเมริกา การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงตลาดที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เมื่อปัจจัยนี้มารวมเข้ากับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยิ่งทำให้ความต้องการไม้แปรรูปเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยหรือต่อเติมบ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่ปัญหาขาดแคลนไม้แปรรูปที่ส่งราคาทะยานขึ้นมากกว่าสามเท่า
ภายในปีเดียวราคาไม้แปรรูปได้เพิ่มขึ้นมากถึง 370% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ที่ $1,700 ต่อหนึ่งพันบอร์ดฟุต ซึ่งโดยปกติแล้วราคาไม้แปรรูปจะวิ่งอยู่ที่ $200-$400 โดยประมาณ ข้อมูลจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านระบุว่าราคาของบ้านหนึ่งหลังทั่วสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น $35,872
แนท ฮอดสัน ประธานสมาคมธุรกิจรับก่อสร้างบ้านในรัฐเนวาด้ากล่าวว่าผลกระทบของไม้แปรรูปที่มีราคาแพงขึ้นตอนนี้กระทบไปหมดไล่มาตั้งแต่ ประตู พื้นบ้าน ตู้เก็บข้องและวัสดุที่ทำจากไม้
“ผมอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่ปี 1993 และผมกล้าพูดได้เลยว่าไม่เคยเห็นราคาไม้แพงอย่างนี้มาก่อน และผมขอบอกคุณตรงนี้เลยว่าราคาไม้จะยังคงแพงแบบนี้ไปอีกหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ผมสงสารคนที่มีความต้องการอยากซื้อบ้านในตอนนี้เป็นอย่างมาก”
“เมื่อประมาณห้าสัปดาห์ที่แล้ว” เขากล่าวต่อ “ราคาไม้แปรรูปเคยปรับตัวลดลงมาแล้ว 15% ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นไป จนกระทั่งมีราคา $1,300 อย่างทุกวันนี้ นี่มันเกินเบอร์ไปแล้ว ขนาดว่าจะซื้อบ้านหลังเล็กสักหลังนึง ราคาก็อาจจะยังพอสู้ได้ แต่ถ้าคิดจะต่อเติมบ้านเพียงแค่ 1% ละก็ อย่าได้แม้แต่จะคิดเชียว”
การที่ไม้แปรรูปมีราคาที่แพงและหาได้ยากในตอนนี้ทำให้ธุรกิจก่อสร้างบ้านไม่สามารถดำเนินการได้โดยง่าย จนสมาคมฯ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการค้าไม้ต้องท้วงถามโจ ไบเดนว่าขอให้ลดหย่อนภาษีการนำเข้าไม้จากแคนาดาซึ่งอยู่ที่ 9% ลงมาได้หรือไม่
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ราคาซื้อไม้แปรรูปล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนกรกฎาคมบนตลาด CME พึ่งขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ที่ $1,711.20 ต่อหนึ่งพันบอร์ดฟุต
ที่มา: S.K. Dixit Charting
นาย Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์จาก S.K. Dixit Charting ประเทศอินเดียวิเคราะห์ว่า
“ที่ผ่านมาราคาไม้แปรรูปล่วงหน้าวิ่งอยู่ในกรอบ $500-$1000 มานาน ดังนั้นขาขึ้นในครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการระเบิดพลังที่สะสมมานาน สำหรับผู้ที่ต้องการตามแนวโน้มขาขึ้นครั้งนี้ สามารถรอให้ราคาไม้แปรรูปย่อลงมาที่เส้นค่าเฉลี่ย 5WMA ($1,486) ก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นสู่แนวต้านถัดไปที่ $2,000”
ทองแดงอาจขึ้นยืนเหนือแนวต้าน $5 ต่อปอนด์
ตลอดทั้งปี 2021 ราคาซื้อขายทองแดงล่วงหน้าบนตลาดนิวยอร์ก COMEX ที่จะส่งมอบในเดือนกรกฏาคมทะยานขึ้นเกือบถึง $4.89 ต่อปอนด์ ในขณะที่ราคาซื้อขายทองแดงบนตลาด LME วิ่งขึ้นสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $10,746 ต่อตัน
รวมๆ กันแล้วราคาซื้อขายทองแดงล่วงหน้าทั้งสองตลาดปรับตัวขึ้นมาเกือบ 35% ตามหลังสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นมาเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นน้ำมันเชื้อเพลิง 44% ข้าวโพด 47% แร่ดีบุกและถั่วเหลืองอย่างละ 46%
การที่ราคาทองแดงปรับตัวสูงขึ้นเกิดมาจากความต้องการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในประเทศให้รองรับกับอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน นอกจากทั้งสองประเทศแล้วสหภาพยุโรปก็ตั้งเป้าที่จะเป็นภูมิภาคที่ใช้พลังงานสะอาดเป็นหลักด้วยเช่นกัน ทั้งสามภูมิภาคจำเป็นต้องใช้ทองแดงในการสร้างสถานีชาร์จพลังงานให้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
โจ ไบเดนตั้งเป้าจะทำให้อเมริกาเป็นประเทศปลอดควันพิษภายในปี 2030 เขามีแผนที่จะติดตั้งสถานีชาร์จให้ได้มากถึง 500,000 แห่งทั่วประเทศและเปลี่ยนรถบัสรับส่งนักเรียนให้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 500,000 คัน ธนาคารเพื่อการลงทุนเจฟฟี่วิเคราะห์ว่าลำพังเฉพาะสถานนีชาร์จและแบตเตอรี่รถบัสก็ต้องใช้ทองแดงมากถึง 200,000 ตัน
โกลด์แมน แซคส์ได้นำข้อมูลความต้องการทองแดงของทั้งสามภูมิภาคมารวมกันแล้วพบว่าภายในช่วงกลางเดือนเมษายนปี 2025 ราคาซื้อขายแร่ทองแดงบนตลาด LME จะมีราคาอยู่ที่ $15,000 ต่อตัน เทียบจากตอนนี้ที่มีราคาอยู่ที่ $9,000 และภายในช่วงระหว่างตอนนี้ไปจนถึงปี 2030 ความต้องการทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 900% ติดเป็นทองแดง 8.7 ล้านตัน หรือต่อให้ไม่ถึงตัวเลขนี้ ราคาทองแดงก็จะเพิ่มขึ้น 600% คิดเป็น 5.4 ล้านตัน
นาย Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์คนเดิมวิเคราะห์กราฟทองแดงทางเทคนิคว่า
“ราคาทองแดงสามารถขึ้นมายืนเหนือ $4.30 ได้เร็วมาก เมื่อราคาทองแดงสามารถวิ่งลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 WMA หรือ $4.53 ให้มองว่าราคาทองแดงอาจจะสามารถลงไปยัง $4.02 ก่อนที่จะวิ่งกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ราคา $5”
แร่โลหะกับเป้าหมายจุดสูงสุดใหม่ที่ $220
Vivek Dhar นักวิเคราะห์จากธนาคารคอมม่อนเวลท์ของประเทศออสเตรเลียให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กว่า
“ปีนี้ราคาแร่โลหะได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 30% ทำจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $204.35 ต่อห้าร้อยเมตริกตันบนตลาด CME ท่ามกลางความต้องการแร่โลหะที่เพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนว่าซัพพลายจะยังมีไม่มากพอ”
ความต้องการแร่โลหะเพิ่มขึ้นหลังจากที่บริษัทผู้ผลิตเหล็กในประเทศจีนตัดสินใจคงอัตราการส่งออกแร่โลหะเอาไว้ที่หนึ่งพันล้านตันต่อปี แม้ว่าจีนจะมีความต้องการสร้างประเทศที่เป็นพลังงานสะอาด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังใช้วิธีนี้มาเพิ่มราคาให้กับแร่เหล็กเพื่อต่อรองและทำกำไร อย่างไรก็ตามผู้เชียวชาญบางส่วนมองว่าจีนจะไม่สามารถใช้กลยุทธ์แบบนี้ไปได้นานเพราะท้ายที่สุดแล้วเหล่าบรรดาผู้ผลิตเรือหรือที่อยู่อาศัยก็จะหันไปหาประเทศผู้ผลิตอื่น
นาย Sunil Kumar Dixit วิเคราะห์ว่า
“ราคาแร่โลหะอาจจะยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อจนกว่าจะสามารถขึ้นถึงระดับราคา $220 แต่การที่เกิดช่องว่างระหว่างราคา (gap) ที่ $200 กว่าๆ จะทำให้กราฟต้องย่อตัวลงมาเปิดช่องว่างนี้ที่ $180 ก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นสู่ $220”