CME หรือที่มีชื่อเต็มๆ ว่า Chicago Mercantile Exchange คือตลาดอนุพันธ์ทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ ก่อตั้งโดยการรวมตลาดหลักทรัพย์ขั้นนำสองแห่งเข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือ ชิคาโกและนิวยอร์ก ตลาดแห่งนี้มีชื่อเสียงจากการเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสัญญาอนุพันธ์ล่วงหน้า
สำหรับวงการหุ้น CME มีชื่อเสียงมายาวนาน แต่สำหรับตลาดสกุลเงินดิจิทัลหรือบิทคอยน์นั้น CME พึ่งจะเริ่มมามีบทบาทเมื่อเปิดให้มีการซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้าในปี 2017 และเหตุการณ์นี้มีส่วนในการดันราคาบิทคอยน์ขึ้นไปยัง $20,000 ได้เมื่อปี 2017 ต่อมาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ปี 2021 CME ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้ามาถือครองสัญญาซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียมล่วงหน้าได้ และทำให้มูลค่าของสกุลเงินอีเธอเรียมปรับตัวขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
การเติบโตของตลาดสกุลเงินดิจิทัลในช่วงปลายปี 2020 มาจนถึงปัจจุบันนั้นมีสูงมาก และตลาดแห่งนี้ก็ยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างสแควร์ (NYSE:SQ) และเทสลา (NASDAQ:TSLA) เข้ามาลงทุนในบิทคอยน์ นั่นทำให้กราฟของราชาแห่งสกุลเงินดิจิทัลปรับตัวขึ้น รวมถึงการยอมรับเหรียญทางเลือกอื่นๆ ในการซื้อของซื้อบริการต่างๆ ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในบริษัทเอกชน
ตลาดสกุลเงินดิจิทัลยิ่งเติบโตมากขึ้นไปอีกเมื่อคอยน์เบส (NASDAQ:COIN) แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลเปิดตัว IPO บนดัชนีแนสแด็กในวันที่ 14 เมษายน 2021 ข่าวดีนี้ส่งให้บิทคอยน์สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลปัจจุบันที่ $65,520 ได้สำเร็จ ก่อนที่จะปรับตัวลงมาวิ่งอยู่ที่ $57,500 โดยประมาณ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าสาเหตุที่ราคาบิทคอยน์สามารถกลับขึ้นมาวิ่งเหนือ $57,000 ได้อีกครั้งเป็นเพราะการอนุญาตให้มีการซื้อขายสัญญาบิทคอยน์ล่วงหน้าแบบไมโครของตลาด CME
ยิ่งรายย่อยเข้าถึงตลาดได้ง่ายเท่าไหร่ สภาพคล่องก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ปัจจุบันมูลค่าซื้อขายสัญญาบิทคอยน์ล่วงหน้าบน CME ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่าสัญญาที่สูงที่สุดเคยมีราคาอยู่ที่ $327,600
ที่มา: CQG
กราฟนี้แสดงให้เห็นกราฟสัญญาบิทคอยน์ล่วงหน้ารายสัปดาห์ที่ปกติแล้ววิ่งกันเกิน 100% ความต้องการบิทคอยน์ในปัจจุบันมีสูงมากจนไม่สามารถระบุได้ว่าควรถือสัญญาข้างไหน ก่อนที่ราคาสัญญาจะขึ้นมายัง $327,600 มูลค่าของสัญญาซื้อขายบิทคอยน์เคยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $160,000 ต่อหนึ่งสัญญาซื้อขาย
แต่การเปิดตัวของสัญญาซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้าแบบไมโครเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมจะทำให้การเข้าถือสัญญาซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้าทำได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างว่าถ้าราคาซื้อขายสัญญาบิทคอยน์ล่วงหน้าแบบไมโครเริ่มต้นที่ $58,000 ต่อหนึ่งเหรียญ หมายความว่านักลงทุนจะสามารถใช้เงินเพียง $5,800 ก็สามารถถือครองบิทคอยน์ได้ แล้วตลาดบิทคอยน์จะเข้าถึงได้ง่ายขนาดไหนหาก CME วางเงื่อนไขเอาไว้ว่าให้หนึ่งสัญญามีมูลค่าเพียง $2,500 ต่อสัญญาเท่านั้น
ที่มา: CQG
รูปนี้คือคำตอบอธิบายว่าทำไม CME ถึงต้องรีบเปิดสัญญาซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้าแบบไมโครให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงได้ง่าย นี่คือกราฟขาขึ้นรายเดือนของตลาดบิทคอยน์ล่วงหน้าบน CME ตั้งแต่ปี 2017 ขาลงที่เราเห็นในกราฟบิทคอยน์ทุกวันนี้ ยังไม่สามารถเรียกว่าขาลงได้เลยกับกราฟระยะยาวเช่นนี้
ที่มา: 99BITCOINS
กราฟด้านบนนี้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการเติบโตของมูลค่าเหรียญบิทคอยน์ตั้งแต่มีราคาเพียงห้าเซนต์ในช่วงกลางเดือนกรกฏาคมปี 2010 จนกระทั้งขึ้นมาถึง $65,520 ในเดือนเมษายนปี 2021 ไม่อยากจะอธิบายให้คนอ่านรู้สึกเสียดาย แต่ถ้าคุณสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แล้วลงทุนเพียง $100 ในวันนั้น ทุกวันนี้คุณจะมีเงินแล้ว $130 ล้านเหรียญสหรัฐ
เป็นไปได้ไหมที่บิทคอยน์จะขึ้นถึง $100,000 ก่อนสิ้นปี 2021?
หากจะให้คาดการณ์ว่าราคาบิทคอยน์จะสามารถขึ้นไปได้ถึงไหนแบบแม่นยำ 100% ความเป็นไปได้ก็เหมือนการปาลูกดอกให้เข้าตรงกลางเป้าแบบพอดี แต่ถึงกระนั้นผู้คนก็ชอบฟังคำพยากรณ์อยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงได้หาความเห็นจากนักวิเคราะห์บางคนและบางสำนักมาให้ผู้อ่านได้เอาไปตั้งเป้าหมายของราคาบิทคอยน์ในปีนี้กันดู
แดน มอร์เฮด CEO ของกองทุน Pantera Capital คาดการณ์ว่าราคาบิทคอยน์จะสามารถขึ้นถึง $115,000 ได้ภายในปี 2021 เขาเชื่อว่าบิทคอยน์จะสามารถแตะ $100,000 ได้ภายในเดือนสิงหาคม เขาคนนี้เคยวิเคราะห์ถูกมาแล้วในตอนที่บิทคอยน์มีมูลค่าอยู่เพียง $11,600 ในเดือนสิงหาคมปี 2020
บทความล่าสุดของนิตยสารชื่อดัง Forbes วิเคราะห์ว่าหนึ่งเหรียญบิทคอยน์อาจมีมูลค่าอยู่ที่ $400,000 ได้ภายในก่อนสิ้นปีนี้ Forbes ไม่สามารถบอกตัวเลขแบบเป๊ะๆ ได้ พวกเขาให้เหตุผลว่าก็เหมือนกับที่ราคาน้ำมันดิบเคยปรับตัวลดลงไปจนติดลบ $40 ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 20 เมษายนของปีที่แล้ว
ETF จะเป็นตัวเร่งทำให้บิทคอยน์ปรับตัวขึ้นได้ไกลกว่าที่เราเห็นในปัจจุบัน
จริงอยู่ว่าการเปิดตลาดซื้อขายสัญญาบิทคอยน์ล่วงหน้าแบบไมโครสามารถเพิ่มสภาพคล่องเข้ามาในตลาดบิทคอยน์ได้ แต่ในแง่ของข้อจำกัดนั้น ตลาด CME ก็ยังมีข้อกำหนดที่ยุ่งยากกว่าสำหรับนักลงทุนรายย่อยในปัจจุบัน
สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยกำลังตั้งตารออยู่ในตอนนี้คือการอนุมัติให้สามารถตั้งกองทุน ETF และ ETN สำหรับการเข้าซื้อบิทคอยน์ของ SEC หากอ่านมาถึงตรงนี้ เราจะเริ่มรู้สึกคุ้นหูกันแล้ว เพราะกองทุน ETF คือกองทุนที่โดยปกติจะอนุญาติให้ผู้ถือหุ้นโดยทั่วไปสามารถเข้ามาถือกองทุนที่ซื้อหุ้นเอาไว้เป็นชุดๆ ได้
ตอนนี้ความหวังของนักลงทุนจึงอยู่ที่ประธาน SEC นายแกรี่ เกนส์เลอร์ว่าเขาจะอนุมัติให้เปิดกองทุน ETF และ ETN สำหรับบิทคอยน์ได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้เขาเคยอนุมัติให้ CME เปิดสัญณาซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้ามาแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจึงหวังว่าเขาจะอนุมัติเรื่อง ETF และ ETN ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แกรี่มีความเป็นห่วงว่าหากเปิด ETF/ETN ให้กับบิทคอยน์ จะยิ่งทำให้ราคาเตลิดไปมากกว่านี้หรือไม่ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาในตลาดลงทุนจะมีความรู้ความเข้าใจถึงความเสี่ยงในการลงทุนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
ขนาดว่าสหรัฐอเมริกากำลังมีความพยายามที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองขึ้นมา แต่เมื่อสภาคองเกรสถามประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะเปลี่ยนดอลลาร์ให้เป็นสกุลเงินดิจิทัล นายเจอโรม พาวเวลล์ ตอบกลับมาสั้นๆ ว่า
“ผมว่าเราควรโฟกัสไปที่ความปลอดภัยก่อนที่จะถามว่าดิจิทัลดอลลาร์จะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่”
คำตอบนี้อาจจะเป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติต่อการเปิด ETF/ETN ของสกุลเงินดิจิทัลก็เป็นได้ ดังนั้นจึงสามารถสรุปบทความนี้ได้ว่าการเปิดให้มีการซื้อขายสัญญาบิทคอยน์ล่วงหน้าแบบไมโครถือเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับบิทคอยน์ก็จริง แต่สภาพคล่องที่ว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่านี้หากมีการอนุมัติให้มีการซื้อขายบิทคอยน์ผ่านกองทุน ETF และ ETN