สิ่งหนึ่งในวงการลงทุนที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอนแล้วหลังจากอินเตอร์เน็ตเข้ามาปฏิวัติวิถีการสื่อสารคือการที่ทุกภาคส่วนสามารถมีส่วนร่วมกับตลาดได้หมด ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ตั้งแต่ระดับสถาบันไล่ไปจนถึงพนักงานตัดไม้คนหนึ่งที่มีสมาร์ทโฟน จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้เวลาคุณเดินไปทางไหนก็จะเจอคนเป็นนักลงทุนอยู่เต็มไปหมด ตลาดน้ำมันก็หนีข้อเท็จจริงนี้ไม่พ้น นักลงทุนในตลาดน้ำมันรุ่นใหญ่ต้องได้เห็นภาพความผันผวนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ในบทความนี้เราจะมาดูความเห็นของผู้มีส่วนร่วมในบางมุมของตลาดน้ำมัน เช่น นายธนาคาร โบรกเกอร์ และนักเศรษฐศาสตร์ว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตตลาดน้ำมันในปีนี้ นอกจากนี้ผู้อ่านจะได้ทราบว่าการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ‘โอเปกพลัส’ (OPEC+) ที่คาดว่าจะมีการประชุมเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไร
หมายเหตุ: ตามกำหนดการเดิมกลุ่ม OPEC+ จะประชุมกันในวันที่ 28 เมษายนนี้ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะเกิดขึ้นจริงตามวันเวลาดังกล่าวหรือไม่ในขณะที่กำลังเขียนบทความอยู่
ตลาดน้ำมันเหมือนกัน แต่ความเห็นไม่เหมือนกัน
ราคาน้ำมันดิบตลอดช่วงเดือนเมษายนเรียกได้ว่าราคาแทบจะคงที่ไม่ได้มีการขยับขึ้นลงอย่างมีนัยสำคัญมากนัก ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นลงอยู่ระหว่าง $60 ต่อบาร์เรลในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ขยับอยู่ที่ $65 ต่อบาร์เรลโดยประมาณ
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชื่อดังอย่างโกลด์แมน แซคส์และซิตี้กรุ๊ปวิเคราะห์ราคาน้ำมันอาจจะสามารถขยับตัวขึ้นไปยังแถวๆ ราคา $80 ต่อบาร์เรลได้ภายในช่วงหน้าร้อนนี้ (ไตรมาสที่ 3) โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะความต้องปิโตรเลียมจะเพิ่มขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วในทุกๆ ปีประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่ลดลง
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดในอินเดียและยูโรโซน ยิ่งการแพร่ระบาดหนักขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีมาตรการคุมเข้มเกี่ยวกับการเดินทางมากขึ้น
รายงานภาพรวมตลาดน้ำมันในระยะสั้นที่เผยแพร่ออกมาโดยสำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐอเมริกา (EIA) ระบุว่าอุปสงค์และอุปทานของตลาดน้ำมันในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จะอยู่ในจุดสมดุลก่อนที่ฝั่งอุปสงค์จะมีกำลังมากขึ้นในไตรมาสที่ 4 เนื่องจากว่าเป็นช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้ EIA ยังคาดการณ์ด้วยน้ำมันดิบเบรนท์จะวิ่งขึ้นลงอยู่ระหว่าง $61 ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งปีหลังของ 2021 ปรับตัวลดลงจากระดับราคาปัจจุบันที่ $65 ต่อบาร์เรล
ด็อกเตอร์ดีน ฟอร์แมน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำหน่วยงานทดสอบคุณภาพน้ำมันของสหรัฐอเมริกา (API) ได้แสดงมุมมองคาดการณ์ตลาดน้ำมันที่น่าสนใจผ่านพอตแคสว่า การที่ EIA วิเคราะห์ออกมาแบบนี้ในพารากราฟก่อนหน้าเพราะ EIA ได้คำนวณบนสมมุติฐานที่ว่ากำลังการผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะสามารถขึ้นถึง 900,000 บาร์เรลต่อวันได้ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการน้ำมันในปี 2021
อย่างไรก็ตาม จากที่ได้สอบถามไปยังบริษัทผู้ผลิตน้ำมันเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานของพวกเขาในปีนี้กลับพบว่าการผลิตน้ำมันอาจจะไม่สามารถขึ้นถึง 900,000 บาร์เรลต่อวันได้ อย่างมากที่สุดก็อาจทำได้เพียงครึ่งหนึ่งของ 900,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น
หากเป็นไปตามนี้และความต้องการน้ำมันสามารถเพิ่มขึ้นถึงดั่งที่คาดการณ์ได้ เราจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นภายในช่วงครึ่งปีหลัง อย่าลืมว่าต้องเอาผลการตัดสินใจวางนโยบายของกลุ่มโอเปกพลัสในช่วงนั้นเข้ามาร่วมคำนวณด้วย ถ้ากำลังการผลิตภายในสหรัฐอเมริกาลดลง ก็ต้องหวังให้กลุ่มโอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าที่ทำอยู่ในช่วงนี้
ผลกระทบจาการตัดสินใจของกลุ่ม OPEC+ ที่ส่งผลต่อตลาด
ตอนนี้ท่าทีของกลุ่มโอเปกพลัสอยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘หยุดรอและเฝ้าดู’ พวกเขามีแผนที่จะเริ่มเพิ่มกำลังการผลิตทีละเล็กละน้อยภายในเดือนพฤษภาคม มิถุนายนและกรกฎาคม โดยมีหมายเหตุว่า
“ทั้งนี้ทั้งนั้น การตัดสินใจว่าจะเพิ่มหรือลดการผลิตน้ำมันในแต่ละเดือนที่มีการประชุมนั้นขึ้นอยู่กับว่าตลาดมีสัญญาณเป็นเช่นไร”
ข้อความนี้หมายความว่าราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวขึ้นลงได้ตลอดเวลาและทันทีที่มีการตัดสินใจมาจากกลุ่มโอเปกพลัส โดยปกติแล้วกลุ่มโอเปกพลัสจะตั้งค่าโควตาการผลิตน้ำมันเอาไว้ที่ 6 เดือนถึงจะมีการประชุมกันหนึ่งหน แต่ปีนี้พวกเขาได้เปลี่ยนมาเป็นการประชุมกันทุกเดือนเนื่องจากความผันผวนในตลาดที่มีมากขึ้น ก่อนหน้านี้ซาอุดิอาระเบียก็ได้ตัดสินใจลดกำลังการผลิตเพื่อให้ประเทศสมาชิกอย่างรัสเซียได้มีโอกาสเพิ่มกำลังการผลิตของตนเองบ้าง
การประชุมของโอเปกพลัสในแต่ละเดือนมีข้อดีก็คือพวกเขาสามารถทิ้งช่วงระยะเวลาเอาไว้ให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันสามารถทำความเข้าใจถึงนโยบายและปรับตัวให้เข้ากับการกำหนดราคาน้ำมันอย่างเป็นทางการ (OSP) จากทางกลุ่มได้ ที่สำคัญประเทศสมาชิกยังได้โอกาสในการเสนอข้อแลกเปลี่ยนหากต้องการเปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตน้ำมันในแต่ละเดือน
อย่างไรก็ตาม การปรับกำลังการผลิตน้ำมันขึ้นบ่อยๆ ก็ทำให้ทุกฝ่าย (ยกเว้น OPEC+) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดน้ำมันเช่นบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน ลูกค้าหรือนักลงทุนในสินทรัพย์น้ำมัน ไม่อาจฟันธงได้อย่างถูกต้องว่าผลการประชุมในแต่ละเดือนจะออกมาในรูปแบบไหน เรียกได้ว่าตอนนี้ OPEC+ กลายเป็นผู้ที่สามารถชี้นิ้วสั่งราคาในตลาดน้ำมันได้อย่างแท้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่สิ่งที่เรียกว่า “โควิด-19” เข้ามา
เชื่อไหมว่าหากย้อนกลับไปเมื่อ 14 เดือนก่อนแล้วถามนักลงทุนน้ำมันว่า “มีปัจจัยอะไรที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาน้ำมันบ้าง?” พวกเขาจะตอบว่าให้ดูแนวโน้มการผลิตน้ำมัน ดูการประชุมของโอเปพลัสทุกๆ หกเดือน ดูสภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ (เพื่อดูอุปสงค์) ดูการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงกลั่นน้ำมัน ดูการท่องเที่ยงตามฤดูกาล ฯลฯ
แต่ทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง แนวโน้มการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ยิ่งวิเคราะห์ยากขึ้นกว่าเดิมเพราะการเข้ามาของโจ ไบเดนพร้อมนโยบายพลังงานสะอาด ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่การใช้งานน้ำมันจะลดลงในทันทีเลยหรือไม่ กลุ่มโอเปกพลัสก็เปลี่ยนรอบการประชุมมาเป็นทุกสัปดาห์ การจะดูเศรษฐกิจโลกก็ต้องมาดูว่ามีประเทศไหนที่ล็อกดาวน์บ้างและประเทศนั้นเป็นผู้ผลิตหรือผู้ใช้งานน้ำมัน ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วนับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020