-
สัปดาห์ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง นำโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีน
-
จับตาสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก รวมถึง การพิจารณาอนุมัติใช้วัคซีน AstraZenecca และ Johnson&Johnson ที่คาดว่าจะได้บทสรุปช่วงสุดสัปดาห์
-
เงินดอลลาร์อาจทรงตัวหรืออ่อนค่าลง หากสถานการณ์การระบาดในสหรัฐฯ ไม่ได้แย่ลง นอกจากนี้ การอนุมัติใช้วัคซีน AZ, J&J จะยิ่งช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ลดความน่าสนใจที่จะถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจผันผวนสูงขึ้นและเคลื่อนไหวสวนทางเงินดอลลาร์ หากตลาดกังวลการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในไทย ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
-
กรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 31.05-31.55 บาท/ดอลลาร์
-
ฝั่งสหรัฐฯ – การเร่งแจกจ่ายวัคซีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวแข็งแกร่ง สะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Markit Manufacturing & Services PMIs) เดือนเมษายนที่ยังคงปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60 จุด และ 61 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัวของภาคการผลิตหรือการบริการ) ขณะเดียวกันยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานใหม่ (Initial Jobless Claims) ก็มีแนวโน้มจะลดลงสู่ระดับ 5.5 แสนราย สะท้อนถึงภาวะการจ้างงานที่ดีขึ้น นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน อาทิ Netflix (NASDAQ:NFLX) และ Intel เป็นต้น ซึ่งผลประกอบการที่ดีกว่าคาดและมีแนวโน้มเติบโตที่ดีจะช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาดกล้าที่จะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On)
-
ฝั่งยุโรป – ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อช่วยประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป โดย ECB จะคงอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate ไว้ที่ระดับ -0.50% พร้อมกับเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงินผ่านการซื้อสินทรัพย์ (คิวอี) ทั้งนี้ ตลาดคาดว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปอาจจะไม่ได้สะดุดลงจากการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 หลัง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Markit Manufacturing & Services PMIs) เดือนเมษายน จะทรงตัวที่ระดับ 62.2 จุด และ 49.9 จุด ตามลำดับ
-
ฝั่งเอเชีย – การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงได้รับแรงหนุนจากยอดการส่งออก (Exports) ในเดือนมีนาคมที่จะโตกว่า 11% จากปีก่อนหน้า ขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เริ่มสะดุดลงจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ทำให้ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (7D Reverse Repo) ที่ระดับ 3.50% และส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยหากจำเป็น เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ส่วนในฝั่งจีน เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) สามารถคงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Loan Prime Rate) อายุ 1 ปี และ 5 ปี ไว้ที่ระดับ 3.85% และ 4.65% ได้ ตามลำดับ
-
ฝั่งไทย – แม้ว่า ยอดการส่งออกในเดือนมีนาคมจะหดตัวราว 1.5% จากปีก่อน และยอดนำเข้าอาจโตกว่า 5% ทว่า ดุลการค้ายังมีโอกาสที่จะเกินดุลกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดีขึ้นจากเดือนก่อนที่เกินดุลเพียง 7 ล้านดอลลาร์
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก