รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ESG Bond… เทรนด์การระดมทุนและการลงทุนใหม่ ตอบโจทย์ความยั่งยืนของไทย

เผยแพร่ 26/03/2564 13:11
อัพเดท 09/07/2566 17:32

วิกฤต COVID-19 ได้ทำให้ทั่วโลกตระหนักถึงควำมสำคัญของ การดำเนินงานที่ต้องยึดหลัก “ESG” ซึ่งหมายถึงการใส่ใจต่อ สิ่งแวดล้อม (Environment) ควบคู่กับการพัฒนำสังคม (Social) โดยเฉพาะมิติความเท่าเทียม การไม่ละเลยเรื่อง ธรรมาภิบาล (Governance) และการคำนึงถึงควำมยั่งยืน (Sustainability) เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นวคั ซีนสำคัญที่เสมือน เกราะกำบังและช่วยลดทอนผลกระทบจากแรงกระแทกต่างๆ ที่ไม่คาดคิดในอนาคตได้ 

หลำยประเทศทั่วโลกกำลังออกแบบการฟื้นตัวทำงเศรษฐกิจใหม่ที่มุ่งไปสู่“Green Recovery” เช่น สหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี Joe Biden ที่ล่าสุดได้กลับเข้าสู่ข้อตกลง ปารีสอีกครั้ง พร้อมออก Executive order ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการส่งเสริม Green Economy ขณะที่ประเทศจีนก็ตั้งเป้าบรรลุ “Carbon Neutrality” ภายในปี 2060 ส่วนประเทศไทยเราเองก็วางแผนที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ในช่วงปี 2021-2026 แน่นอนว่าแนวคิดเหล่านี้จะนำไปสู่การลงทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในมิติ ESG และ BCG ที่เข้มข้นขึ้น และจะทำให้เครื่องมือในการระดมทุนและการลงทุนที่ตอบโจทย์ ทิศทางเหล่านี้มีบทบาทมากขึ้นตามไปด้วย และหนึ่งในนั้น คือ การระดมทุนผ่ำนตราสารหนี้ เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารหนี้เพื่อสังคม (Social Bond) และตราสารหนี้ เพื่อควำมยั่งยืน (Sustainability Bond) ซึ่งในที่นี้ ขอเรียกรวมๆ ว่า คือ “ESG Bond” เรื่องนี้นับว่า เป็นเทรนด์ใหมที่กำลังเกิดข้นึทั่วโลก และในไทยด้วย ทางผู้เขียนจึงอยากชวน ทุกท่านมาทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันว่า “ESG Bond” คือเครื่องมือการระดมทุนและการ ลงทุนแบบใด และทิศทางการพัฒนาของ “ESG Bond” ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว เพื่อให้ ทุกภาคส่วนพรอ้มรบัเทรนด์นี้และสามารถกลับมาฟื้นตัวและก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

“ESG Bond” คือตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่แทบจะเหมอืนกับตราสารหนี้ปกติทั่วไป แต่ต่ำงกัน เพียงวัตถุประสงค์ของการระดมทุน กล่าวคือ “ESG Bond” คือตราสารหนี้ที่ผู้ระดมทุน ต้องการนำเงินไปใช้เพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้แนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี(Environmental, Social and Governance) ซึ่งปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 ประเภทสำคัญ ได้แก่ 1) ตราสารหนี้ เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green bond) หมายถึง ตราสารหนี้ที่ผู้ออกตราสารต้องการระดม ทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนหรือชำระคืนหนี้สินเดิม (Re-financing) ในโครงการที่เกี่ยวข้อง กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน และสร้างอาคารเพื่อ สิ่งแวดล้อม 2) ตราสารหนี้เพื่อสังคม (Social bond) จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้ใน โครงการพัฒนาสังคม อาทิ โครงการเพื่ อลดปัญหาการว่างงาน และส่งเสริมความ เท่าเทียมในสังคม และ 3) ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) คือ ส่วนผสมระหว่าง Green bond และ Social bond ซึ่งมุ่งหวัง ทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพัฒนาสังคมควบคู่กันไป การระดมทุนผ่ำน “ESG Bond” ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดจาก Climate Bonds Initiative (CBI) ชี้ว่ามูลค่าตราสารหนี้ออกใหม่ทั่วโลกที่อยู่ในกลุ่มเพื่ อ สิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืน ในช่วงครึ่งแรกของปี2020 มีจำนวนมากกว่า 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับทั้งปี 2019 ที่อยู่ที่ 341 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ คือ Green Bond ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม พลังงาน ก่อสร้างและอสังหาฯ และคมนาคมขนส่ง

ข้อดีหลักๆ ของ “ESG Bond” ในมุมผู้ออกตราสาร คือ จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ องค์กรและสร้ำงควำมเช่ือมั่นต่อนักลงทุน เพราะเป็นการสื่อสารที่เด่นชัดว่าองค์กร ให้ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืนอย่างจรงิ จัง นอกจากนั้น ยังช่วย ดึงดูดและกระจายฐานนักลงทุนสู่กลุ่มใหม่ๆ (Diversification) และอาจส่งผลดีต่อ องค์กรในระยะยาว ขณะที่ในมุมของนักลงทุน ก็จะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจในบริษัท ที่มีศักยภาพเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ บทความจาก Harvard Business Review ซึ่งอ้างอิงงานวิจัยของ Boston University Questrom School of Business ชี้ว่าจากการศึกษาบริษัทที่มีการออก Green Bond ทั่วโลกกว่า 217 แห่งในช่วงปี 2013-2017 พบว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ พุ่งสูงขึ้น 0.67% (Average cumulative abnormal return) ในช่วงที่มีการประกาศว่าจะออก Green Bond เนื่องจากเป็น การส่งสัญญาณที่ดีต่อนักลงทุน สร้างความเชื่อมั่นในตัวบริษัท ส่วนหนึ่งเพราะต้องมี ผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาทบทวนการออก Green Bond เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานสากล อย่างไรก็ดี ผู้ออกตราสารหนี้ประเภทนี้อาจเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากการมีขั้นตอน การสอบทาน และการรายงานต่างๆ ที่เข้มข้นมากกว่าการออกตราสารหนี้แบบปกติทั่วไป ในปี 2020 ประเทศไทยมีการออก “ESG Bond” มากถึง 86,400 ล้ำนบำท เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่ำตัวจากปี 2019 หลังจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสนใจออกตราสารหนี้ ประเภทนี้มากขึ้น นำโดยกระทรวงการคลังที่มีการออก Sustainability bond เป็น ครั้งแรกมูลค่ามากถึง 5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากผลกระทบของวิกฤต COVID-19 เป็นสำคัญ นอกจากนั้น ยังมีบริษัทต่างๆ อาทิ บจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์(BK:BTS) ที่ออก Green Bond เป็นมูลค่า 8,600 ล้านบาท เพื่ อนำไปสนับสนุนโครงการระบบขนส่งที่ลดการก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Low carbon transportation) และ บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ที่ออก Green bond มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้สำหรับโครงการด้านพลังงาน หมุนเวียน (Renewable energy) 

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่โดยทีมงาน Krungthai COMPASS 

การเติบโตของ “ESG Bond” ในไทย นอกจากมาจากแรงผลักดันด้าน Supply แล้ว ยังเกิดจากการตอบรับที่ดีของ Demand ทั้งนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่และ รายย่อยอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่มีนักลงทุนต้องการซื้อ Sustainability bond ในล็อตแรกของปี 2020 ของกระทรวงการคลังมากกว่าที่มีอยู่ถึง 3.05 เท่า เช่นเดียวกับ Green Bond ของ BTS ที่มีนักลงทุนแสดงความจำนงลงทุนกว่า 3.3 เท่า ส่วนกรณี Green Bond ของ บมจ. ราช กรุ๊ป (RATCH) พบว่ามียอดแสดงความจำนงลงทุนรวม กว่า 9 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ทั้งหมดที่เสนอขาย ยิ่งไปกว่า นั้น ในบางรุน่ ยังพบว่า สัดส่วนนี้ สูงเกินกว่า 13 เท่าของมูลค่าที่เสนอขาย อีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ “ESG Bond” ในไทยเติบโตเร็ว คือ การสนับสนุนจาก หน่วยงานกำกับดูแล เช่น ก.ล.ต. ได้เริ่มมีการกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติใน การเสนอขาย “ESG Bond” ที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2018 นอกจากนั้น ยังได้มีการยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นคำขออนุญาตและค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล การเสนอขายตราสารหนี้ (Filing) สำหรับ “ESG Bond” จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2021 ตลอดจนการผลักดันให้มี Reviewer หรือคนที่ตรวจสอบว่าหุ้นกู้นี้เป็น “ESG Bond” หรือไม่ ที่เป็น Local Firm ด้วย พร้อมทั้งส่งเสริมให้กองทุนต่างๆ หันมาลงทุนในหุ้นกู้เพื่ อความยั่งยืน มากขึ้น

Krungthai COMPASS มองว่าในอนาคต ตลาด “ESG Bond” ของไทย จะเติบโตเพิ่มขึ้นตำมทิศทำงการปฏิรูปเศรษฐกิจที่มุ่งไปสู่Green Recovery โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการให้ความสำคัญในเรื่อง ESG ของภาคเอกชน และแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วย โมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ปี 2021-2026 ของภาครัฐ ซึ่ง Krungthai COMPASS ประเมินว่าจะทำให้การลงทุนเพิ่ม อย่างน้อย 8.2 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า ส่วนฝั่งสำนักงานบริหาร หนี้สาธารณะ (สบน.) เผยว่ามีแผนที่จะออก Sustainability Bond ต่อเนื่อง เพื่อให้มียอดเงินคงค้างขั้นต่าอยู่ในระดับ 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ ที่ 6.5 หม่ืนล้านบาท หลังล่าสุดได้มีการออกเพิ่มอีก 1.5 หมื่นล้านบาทใน เดือน ม.ค. 2021 นอกจากนั้น สบน. จะเร่งสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจมีการ ออก Green Bond และ Social Bond มากขึ้น อาทิ ส่งเสริมให้สำนักงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณาเพิ่มคะแนนให้กับ รัฐวิสาหกิจที่มีการออกหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นพิเศษ “ESG Bond” จึงนับเป็นอีกหนึ่งทำงเลือกที่น่ำสนใจ สำหรับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการระดมทุน ตลอดจนทางเลือกใหม่ๆ สำหรับนักลงทุน และยัง ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหา สภาวะโลกร้อน ผ่อนคลายปัญหาสังคม และปูพรม สู่ความยั่งยืนให้แก่ประเทศได้อีกด้วย

 




ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย