ธุรกิจร้านค้า และห้างร้านต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาเปิดให้บริการ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ผลของการดำเนินนโยบายฟื้นฟูประเทศจากโควิดจึงทำให้เราได้เห็นตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในที่สุดก็ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 700,000 คนได้สำเร็จ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนลดลงมาเหลือ 684,000 คน นับเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่สี่ของสหรัฐฯ ก็ถูกปรับขึ้นจาก 4.1% เป็น 4.3% แม้เส้นทางกลับคืนสู่เศรษฐกิจช่วงก่อนโควิดจะยังอีกห่างไกล แต่การที่ตัวเลขเหล่านี้ดีขึ้นแปลว่าการดำเนินนโยบายฟื้นฟูประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และทีมงานเดินมาถูกทางแล้ว ตราบใดที่ยังมีชาวอเมริกันได้รับวัคซีนในทุกๆ วัน ตัวเลขทางเศรษฐกิจในอนาคตก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามไปด้วย
แม้ข่าวดีนี้จะทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาถือครองดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงแรกของการเปิดตลาดกลับไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามข่าวดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์ที่งาน NPR’s Morning เรียกว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การระบาดเกิดขึ้นเลยก็ได้ที่เจอโรม พาวเวลล์พูดถึง “อนาคตที่เงินกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง” เขากล่าวว่า
“ตอนนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังอยู่บนเส้นทางที่ต้องการบรรลุเป้าหมายของเราให้ได้ (หมายถึงเป้าเงินเฟ้อ 2%) แต่เราอาจจะต้องเริ่มลดวงเงินในการเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBS) ลง”
ในมุมมองของนักวิเคราะห์แล้วนี่คือข่าวดีสำหรับตลาดและสินทรัพย์ของสหรัฐฯ เป็นอย่างมากและเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถึงสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาปิดบวกก่อนปิดตลาดซื้อขายในวันพฤหัสบดีได้
ภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะวัคซีนช่างเป็นภาพที่แตกต่างกับโซนยุโรปโดยสิ้นเชิง อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าที่ยุโรปตอนนี้บางประเทศอย่างเช่นเยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลีพึ่งประกาศยืดระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์ออกไป เมื่อเทียบจำนวนผู้ได้รับวัคซีนแล้วพบว่ามีเพียง 9% ของชาวเยอรมันเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนโดสแรก ตลอดทั้งเดือนมีนาคมเรามีภาพที่เป็นลบต่อการฟื้นตัวของสกุลเงินยูโรมาโดยตลอดและรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจาก IFO ในวันนี้จะตอกย้ำว่าสิ่งที่เราประเมินนั้นเป็นความจริง