นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา เราจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบทั้งเบรนท์และWTI ต่างก็สามารถยืนเหนือระดับราคา $55 ต่อบาร์เรลได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้เกิดความสงสัยในหมู่นักลงทุนบางกลุ่มว่าในเมื่อราคาน้ำมันก็กลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราไม่ได้เห็นสหรัฐอเมริกาผลิตน้ำมันเพิ่ม
อันที่จริงระดับราคา $55 ต่อบาร์เรลเป็นแนวรับที่เราประเมินเอาไว้ หากจะให้พูดให้ถูกคือตอนนี้ราคาน้ำมันดิบสามารถยืนอยู่ที่ระดับราคา $60 ต่อบาร์เรลได้อย่างสามารถวางใจได้ จุดสูงสุดที่เบรนท์เคยขึ้นไปทดสอบคือ $70 ต่อบาร์เรลในขณะที่ WTI ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดที่เกือบแตะ $70 ต่อบาร์เรลเล็กน้อย
โดยปกติแล้ว ถ้าราคาน้ำมันจะสามารถขึ้นมาได้ขนาดนี้ การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ในตอนนี้อย่างน้อยก็ควรจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนโควิด คำถามก็คือทำไมตอนนี้เราถึงไม่เห็นกำลังการผลิตนั้น
อ้างอิงข้อมูลจากองค์กรข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่ากำลังการผลิตน้ำมันโดยเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่ 10.9 ล้านบาร์เรลต่อวันและคงที่อยู่ที่ตัวเลขประมาณนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ตัวเลขการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ในตอนนี้เพิ่มขึ้นจาก 9.7 ล้านบาร์เรลในดือนสิงหาคม แต่ตัวเลข 10.9 ล้านบาร์เรลนี้ก็ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่เคยทำเองไว้ก่อนโควิดที่ 13.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
เมื่อไปดูที่จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดใช้งานอยู่พบว่าสัปดาห์ที่แล้วมีการเปิดใช้งานแท่งขุดเจาะเพิ่มขึ้นมา 9 แท่น แต่ถือว่ายังอยู่ในจำนวนแท่งขุดเจาะที่เปิดใช้งานเฉลี่ยทั่วทั้งประเทศที่ 300-318 แท่นซึ่งเป็นตัวเลขที่คงอยู่มาตั้งแต่เดือนมกราคม หากมองตามตัวเลข เราจะเห็นว่ามีหลักฐานที่การผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นจริง แต่ในมุมมองของผู้ผลิตน้ำมันจากหินน้ำมันแล้ว พวกเขาต้องเร่งอัตราการขุดเจาะให้เร็วขึ้นเพื่อทำให้อัตราการผลิตฯ คงที่
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับข่าวในตลาดน้ำมันดิบ ฉันเชื่อว่าแม้ผู้ผลิตจะมีการเพิ่มกำลังการขุดเจาะน้ำมันเพราะเห็นราคาน้ำมันตอนนี้อยู่ในระดับสูง แต่พวกเขาจะยังไม่มีแผนขยายวงการผลิตน้ำมันให้กว้างขึ้นไปจากที่มีอยู่ในตอนนี้
ผลสำรวจตลาดพลังงานในไตรมาสแรกจากธนาคารกลางดัลลัสที่เก็บข้อมูลจาก 155 บริษัทพลังงานในช่วงระหว่างวันที่ 10-18 มีนาคมระบุว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยที่พวกเขาต้องการรักษาระดับเอาไว้เพื่อให้ครอบคุลมกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของบริษัทอยู่ที่ $17 - $34 ต่อบาร์เรล (ขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาค) หากต้องเปิดหลุมขุดเจาะใหม่ต้องให้ราคาน้ำมันดิบมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ $52 ต่อบาร์เรลจึงจะได้กำไรจากการเปิดบ่อใหม่
ดังนั้นหากวัดจากระดับราคาน้ำมันดิบที่ $61 ต่อบาร์เรลในวันที่ 19 มีนาคม การเปิดบ่อขุดเจาะน้ำมันใหม่ที่ราคาน้ำมันบริเวณนั้นจะสามารถทำกำไรให้กับผู้ผลิตได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมาตอนนี้อาจจะเริ่มล่อตาล่อใจเหล่าบรรดาบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจจากผลสำรวจนี้ก็คือมีข้อมูลระบุว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจำนวนหนึ่งไม่มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มกำไรของตนในปีนี้แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นก็ตาม บริษัทผู้ผลิตน้ำมันมากถึง 53% ไม่มีแผนที่จะจ้างพนักงานใหม่ในปี 2021 มีเพียง 34% เท่านั้นที่คิดจะจ้างพนักงานใหม่และจะจ้างในจำนวนไม่มากด้วยทั้งที่ช่วงก่อนการแพร่ระบาด ยิ่งราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นมากเท่าไหร่ บริษัทผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ มีแต่จะเร่งกำลังการผลิตและหากำไรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับลังเล
ข้อความด้านล่างนี้คือเหตุผล 4 ประการอธิบายว่าทำไมเหล่าผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ อาจจะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในปีนี้
1. การชะลอตัวของอุตสาหกรรมน้ำมัน
การร่วงลงของราคาน้ำมันดิบในปีที่แล้วทำให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายเล็กทำกำไรได้น้อยกว่าค่าดำเนินการ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยื่นล้มละลายและขายทรัพย์สินให้กับผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ก่อนที่โควิดจะเข้ามา อุตสาหกรรมนี้ยังพยายามประคองพากันรอดไปได้
แต่เมื่อโควิดเข้ามา บริษัทที่มีสถานภาพไม่มั่นคงอยู่แล้วก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์จะมีชีวิตรอด ดังนั้นบริษัทที่เหลืออยู่ตอนนี้จึงมีแต่บริษัทใหญ่ๆ ทั้งนั้นและถ้าบริษัทเหล่านั้นพิจารณาว่าการผลิตน้ำมันเพิ่มในตอนนี้ไม่คุ้มทุน พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะเร่งการผลิตน้ำมันในตอนนี้ เมื่อไม่มีคู่แข่งอย่างที่เคยมี และทุกวันนี้ก็ยังมีกำไรอยู่แล้ว การรอดูสถานการณ์ไปก่อนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
2. อุปสรรคทางการเงิน
แม้ว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จะสามารถขุดน้ำมันได้ แต่การดำเนินการแต่ละครั้งก็ต้องใช้เงิน และหากต้องการเปิดบ่อขุดเจาะน้ำมันอีก พวกเขาก็ต้องไปทำเรื่องกู้จากธนาคาร หากเป็นเมื่อก่อนธนาคารอาจจัดการเรื่องนี้ได้ในทันที แต่สถานการณ์ตอนนี้นั้นแตกต่างออกไป ธนาคารมีเหตุผลมากมายที่ต้องพิจารณาการปล่อยกู้ครั้งนี้ให้รอบคอบเช่นรัฐบาลของโจ ไบเดนที่สนับสนุนพลังงานสะอาดมากกว่าตลาดพลังงานยุคเก่า รวมถึงความเสี่ยงที่ซาอุดิอาระเบียอาจตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันขึ้นมาดื้อๆ จนทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำได้
3. ผู้ผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ยังมีมุมต่อเศรษฐกิจในเชิงลบ
ผลสำรวจจากธนาคารกลางดัลลัสเผยว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ยังมีมุมมองเชิงลบกับราคาน้ำมันดิบในตอนนี้ 56% เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะแกว่งอยู่ที่ระดับราคาประมาณ $50-$62 บาร์เรลไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคมปี 2021 อีก 25% เชื่อว่า WTI จะแกว่งอยู่ระหว่าง $62-$68 บาร์เรลไปจนสิ้นปีเช่นกัน นอกจากนี้บริษัทส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลงมากกว่านี้อีกในอนาคต นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจึงไม่กล้าที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของตัวเองในปีนี้เพราะแม้แต่ประเมินตลาดแบบไม่คิดอะไร พวกเขายังมองลงไว้ก่อนที่จะมองขึ้น
4. การออกกฎหมายของภาครัฐ
เป็นที่ทราบกันดีว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนเป็นผู้ที่สนับสนุนพลังงานสะอาดเช่นพลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์และก๊าซธรรมชาติมาโดยตลอด นี่คือหนึ่งในแคมเปญหลักที่เขาใช้หาเสียงในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีประกอบการสถานการณ์โควิดที่ทำใหเความต้องการน้ำมันดิบตกต่ำ จึงไม่แปลกใจที่เราได้เห็นบริษัทผู้ผลิตฯ 58% แสดงความกังวลว่า “การออกกฎหมายของภาครัฐเพื่อควบคุมการผลิตน้ำมันอาจทำให้ธุรกิจของพวกเขาไม่สามารถทำกำไรได้อย่างเคย”
ความกังวลนี้ประกอบกับการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในเชิงลบ (ข้อที่ 3) จึงทำให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันยังไม่กล้าที่จะใช้เงินลงทุนมหาศาลกับการสร้างโครงการใหญ่ๆ การเปิดใช้งานแท่นขุดเจาะในปริมาณเท่าเดิมก็ทำให้การผลิตน้ำมันของสหรัฐอเมริกาจะไม่ลดลงและไม่เพิ่มขึ้น