เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น แต่ดอกเบี้ยยังไม่ขึ้น ดีสำหรับตลาดหุ้น

ผลการประชุม Fed ออกมาตามทีคาดโดยยังคงอัตราดอกเบียนโยบาย และการทํา QE ไว้

ที่ระดับเดิม อีกทังใน Dot Plot ยังเห็นภาพอัตราดอกเบียนโยบายคงทีในช่วงปี

และส่วนประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจมีการปรับขึ้นโดย GDP Growth ปีปรับจากเดิม 4.2 % เป็น 6.5 % อัตราการว่างงานดีขึ้นจาก 5% เหลือ 4.5% สัญญาณทีเกิดขึ้นจากการประชุม Fed ดังกล่าวสะท้อนถึงการตีความเรือง Bond Yield ปีทีปรับขึนในแนวทางที่ถูกต้องของฝ่ายวิจัย ซึงเชือว่าเป็นผลมาจากการย้ายเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัยเข้าหาผลตอบแทนที่สูงขึน หลังเห็นว่าความเสียงในเชิงระบบด้านเศรษฐกิจปรับตัวลดลง

และยังน่าจะเห็นการเคลือนไหวของเม็ดเงินในทิศทางดังกล่าวต่อไป ส่วนเศรษฐกิจไทยก็

ส่งสัญญาณในทางเดียวกันคือเห็นภาพการฟืนตัว และน่าจะมีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มประมาณการขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ปัจจัยทีรอดูอยู่มีเรื่องคือ การขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อเนื่อง และการควบคุมการระบาดของ Covid-19 ประเมินว่า SET Index ยังอยู่ในแนวโน้มขึน Theme การลงทุน เน้นหุ้นที่ไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เลือกหุ้น

BBL, CENTEL และ SPVI เป็น Top Pick ส่วนพอร์ตจําลองวันนี้ไม่มีการปรับเปลียน

นโยบายการเงินยังจําเป็น หนุนตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ Risk On

ASPS เคยนําเสนอมาตลอดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ย นโยบายในระดับต่ําที่ 0-0.25% ต่อไป ล่าสุดผลประชุม (Fed) วานนี้ออกมาสอดคล้องกับ ที่ ASPS และตลาดคาด กล่าวคือ

• Fed อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ําที่ 0-0.25%

• Fed คงวงเงินเข้าซื้อพันธบัตร (QE) รวมไว้ที่ 1.2 แสนล้านเหรียญ/เดือน โดยแบ่งเป็น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 8 หมื่นล้านเหรียญ และตราสารหนี้ที่มี สินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ําประกัน (MBS) 4 หมื่นล้านเหรียญ

ยิ่งไปกว่านั้นการประชุมล่าสุด Fed ยังส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ํา ไปจนถึงปี 2566 เป็นอย่างน้อย ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลว่า Fed อาจพิจารณา ดําเนินนโยบายการเงินตึงตัวในเร็วๆนี้

ประเด็นดังกล่าวหนุนให้ Fund Flow มีแนวโน้มไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe haven) ไปสู่สินทรัพย์เสี่ยง (Risky Asset) สะท้อนจาก Bond Yield อายุ 10 ปี ของสหรัฐ เดินหน้าปรับขึ้นต่อ จนทําจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี 2 เดือน ที่ 1.64% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐ วานนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นทําจุดสูงสุดใหม่ (New High) โดย ดัชนี Dow Jones ปิดที่ระดับ 33,015.37 จุด (+6.7% mtd) และดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับ 3,974.12 จุด (+4.3% rmtd)

สรุปคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทังการเงิน, การคลัง ที่ยังมีต่อเนื่อง ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจและกําไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีขึ้น หนุนตลาดหุ้น โลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยน่าจะเดินหน้าต่อได้

เศรษฐกิจโลกและไทยต้อง “มองบน” เป็นบวกต่อตลาดหุ้น

ดังที่ ASPS เคยนําเสนอมาตลอดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปี 2564 มี Downside จํากัด และมี Upside ส่วนเพิ่ม หลังจากการกระจายวัคซีน COVID-19 และไม่ ปรากฏการ Lockdown ในวงกว้างของทั่วโลกเหมือนในปี 2554 ที่ผ่านมา หนุนให้ เศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าที่ก่อนหน้าหลายฝ่ายคาด มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของสํานักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั่วโลก สะท้อนจาก สํานักวิเคราะห์หลายแห่งเริ่มทยอยคง หรือปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปี 2564 ของโลก อาทิ ต้นปีระหว่างเดือน ม.ค.-กพ. OECD ปรับ GDP โลกเพิ่มเป็น 5.6% จาก 4%, IMF ปรับ GDP โลกเพิ่มเป็น 5.5% จาก 5.2% และล่าสุดวานนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับ เพิ่ม GDP สหรัฐ ปี 2564 เป็น 6.5% จาก 4.2%, อัตราว่างงานปีเดียวกัน ปรับลดเหลือ 4.5% จาก 5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อปี 2564 ปรับเพิ่มเป็น 2.4% จาก 1.8%

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities